Sunday, March 15, 2009

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ตอน ประกาศอิสรภาพ

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ตอน ประกาศอิสรภาพ

เรื่องย่อ

พุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทรงกรีฑาทัพเข้าตี ราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณา นับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ ของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผล สำเร็จ ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิต อาณาประชา ราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตราย และจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับ พม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระ ประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประ เทศเฉกเช่นกัน กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา

สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถ ด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสาย พระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรัก แผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัย ในพระราชโอรส คือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อ ไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้น หาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็น บูรพกษัตริย์ปกป้องครองแผ่นดิน ที่พระองค์ทรงสร้างและ ทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น

สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถ ด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญ สบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสาย พระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรัก แผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็น ผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรส คือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดามังสามเกียดนัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข โดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม อันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ ทรงสร้าง และทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญา และความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรส มังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น

พระเจ้าบุเรงนอง ทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง–พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณ และเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปวิทยา การแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญ หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให ้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า

พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือ แลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัด แย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทร์ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวย ราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดี ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช2106 ขณะ ที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระ ประสงค์ จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม ่ถึงกับหันไปสมคบกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ร่มขาว ร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีก คำรบ ครั้งนั้นสมเด็จ พระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสา แต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหา ธรรมราชา โดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระ มหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายาก จะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวช มาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง

ข้าง สมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้น ศึกหาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหา ธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่ง พรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพาร ใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดิน จึงพากันนิยมในน้ำพระทัย และพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา

ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวายพระสุพรรณกัลยา พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวร แก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลกสืบต่อมา ครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา สืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลก เป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง

เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสา มเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธ ไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หา ได้เคารพยำเกรงในบุญบารมี ของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้น สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่น คร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวร จะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึก หมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้าย นั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธ-ไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญครัวไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร

การประกาศอิสรภาพ

เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมือง ให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยา ด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจ ว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระ นเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยก กองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวร เสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดีเพราะมหาเถรคันฉ่อง กับสมเด็จพระนเรศวรเคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน



กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครง พร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระ มหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุม แม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์ มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า

"ด้วย พระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"

จาก นั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำเดือน 6

ฝ่าย พระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระ นคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลัง

ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตาม กองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้ กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี


ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ตอน ประกาศอิสรภาพ

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ตอน ประกาศอิสรภาพ

เรื่องย่อ

พุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทรงกรีฑาทัพเข้าตี ราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณา นับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ ของราชอาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผล สำเร็จ ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิต อาณาประชา ราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตราย และจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับ พม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระ ประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประ เทศเฉกเช่นกัน กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา

สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถ ด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสาย พระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรัก แผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัย ในพระราชโอรส คือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดา “มังสามเกียด” นัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อ ไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้น หาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็น บูรพกษัตริย์ปกป้องครองแผ่นดิน ที่พระองค์ทรงสร้างและ ทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น

สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถ ด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญ สบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสาย พระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรัก แผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็น ผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรส คือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดามังสามเกียดนัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข โดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม อันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ ทรงสร้าง และทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญา และความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรส มังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น

พระเจ้าบุเรงนอง ทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง–พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณ และเจนจบในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปวิทยา การแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญ หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให ้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า

พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่าหัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือ แลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้นเกิดขัด แย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทร์ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวย ราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดี ของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช2106 ขณะ ที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหา จักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฏิบัติตามพระ ประสงค์ จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม ่ถึงกับหันไปสมคบกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ร่มขาว ร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีก คำรบ ครั้งนั้นสมเด็จ พระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสา แต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหา ธรรมราชา โดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุงด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระ มหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายาก จะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวช มาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึกพุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง

ข้าง สมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้น ศึกหาได้ทรงเห็นงามหรือคิดครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหา ธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่ง พรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ข้าราชบริพาร ใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดิน จึงพากันนิยมในน้ำพระทัย และพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา

ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงถวายพระสุพรรณกัลยา พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวร แก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลกสืบต่อมา ครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหา ธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา สืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลก เป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง

เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อและได้สถาปนามังสา มเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธ ไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หา ได้เคารพยำเกรงในบุญบารมี ของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้น สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่น คร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวร จะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึก หมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้าย นั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธ-ไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญครัวไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร

การประกาศอิสรภาพ

เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมือง ให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยา ด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจ ว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครงมาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระ นเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรยก กองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวร เสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดีเพราะมหาเถรคันฉ่อง กับสมเด็จพระนเรศวรเคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน



กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครง พร้อมทั้งพระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระ มหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุม แม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์ มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า

"ด้วย พระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป"

จาก นั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครงไปยังเมืองหงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่ำเดือน 6

ฝ่าย พระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระ นคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลัง

ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตาม กองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้ กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดี


ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 องค์ประกันหงสา



ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 องค์ประกันหงสา (Limited Edition)
พุทธศักราช 2016 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับ ได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยา อันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ...ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาของสมเด็จพระเนเรศวรหรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วม กระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ...ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยา ทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือนก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ...ช้างสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศาวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกัน ประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมมายุได้เพียง 9 ชันษา ...สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใครของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเองประดุจพระ ราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วงองค์ยุพราชอยุธนาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญ สบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ ...พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดามังสามเกียดนัก ...ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกูลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอัน จะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้ เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและ ความรักใคร่หวงแหน ...เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดชัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรง นองกว่าราชนิกูลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น ...พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบ ในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวร สามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัยในภายภาคหน้า ...พุทธศักราช 2112 ปรากฎข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่า หัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธนาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยาม ครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปืนเกลียวกันเหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้า แผ่นดินอยุธาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทรราชโอรสองครองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระธรรมราชาแต่ ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลก ก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช้าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ...เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฎิบัต ิตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ ถึงกับหันไปสมาคบกับสมเด็นพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทับการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำ





ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 องค์ประกันหงสา



ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 องค์ประกันหงสา (Limited Edition)
พุทธศักราช 2016 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับ ได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยา อันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ ...ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาของสมเด็จพระเนเรศวรหรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตรายและจำต้องยอมร่วม กระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ...ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยา ทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือนก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ...ช้างสมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศาวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกัน ประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน ครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมมายุได้เพียง 9 ชันษา ...สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใครของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเองประดุจพระ ราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วงองค์ยุพราชอยุธนาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญ สบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ ...พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักรซึ่งพระองค์ ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรสคือ มังเอิน (พระเจ้านันทบุเรง) และพระราชนัดดามังสามเกียดนัก ...ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกูลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอัน จะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้ เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและ ความรักใคร่หวงแหน ...เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดชัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรง นองกว่าราชนิกูลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น ...พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบ ในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญาอันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวร สามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัยในภายภาคหน้า ...พุทธศักราช 2112 ปรากฎข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่า หัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธนาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยาม ครั้งนั้นเกิดขัดแย้งปืนเกลียวกันเหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้า แผ่นดินอยุธาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทรราชโอรสองครองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระธรรมราชาแต่ ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลก ก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช้าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ...เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ปฎิบัต ิตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ ถึงกับหันไปสมาคบกับสมเด็นพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทับการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็นเชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำ





VALKYRIE : วัลคีรี่ ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก

valkyrie

นักแสดงนำ : ทอม ครูซ …นายพันเอกเคล้าส์ ฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก,เคนเน็ธ บรานัค,ทอม วิลกินสัน,บิลล์ ไนฮีย์,คาริช แวน ฮิวเท็น,โธมัส เคร็ทสช์แมนน์,เอ็ดดี อิซซาร์ด,คริสเตียน เบอร์เคล,เทอเรนส์ แสตมป์


เรื่องย่อ
นายพันเอกเคล้าส์ ฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก (ทอม ครูซ) เป็นข้าราชการทหารผู้องอาจ และสาบานตนรับใช้ประเทศยิ่งชีพ ทั้งยังหวังให้ใครสักคนเข้ามายุติความบ้าระห่ำของฮิตเลอร์ (David Bamber) ก่อนที่ทั้งทวีปยุโรป และประเทศเยอรมันนี เองจะถูกทำลายย่อยยับ

เมื่อเขาตระหนักแล้วว่า เวลาช่างเหลือน้อยลงทุกที ก็จึงตัดสินใจลงมือปฏิบัติการอุกอาจด้วยตนเอง และร่วมกับกองกำลังชาวเยอรมันผู้ต่อต้านการปกครองของกองทัพนาซี เขาอาศัยจังหวะที่มีการประกาศใช้แผนฉุกเฉินของฮิตเล่อร์ เองที่เรียกขานกันว่า ปฏิบัติการวัลคีรี่ กองกำลังนี้มุ่งลอบสังหารผู้นำจอมเผด็จการและโค่นล้มรัฐบาลนาซีของเขาจากวง ใน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ โดยมีอนาคตของโลก, ชะตากรรมของคนนับล้าน, รวมทั้งชีวิตลูกเมียของฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก, เป็นเดิมพัน เขาจึงก้าวข้ามจากคนที่เคยคิดต่อต้านฮิตเลอร์มาเป็นคนที่จะต้องลงมือสังหาร ผู้นำจอมโหดด้วยตัวเอง






VALKYRIE : วัลคีรี่ ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก

valkyrie

นักแสดงนำ : ทอม ครูซ …นายพันเอกเคล้าส์ ฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก,เคนเน็ธ บรานัค,ทอม วิลกินสัน,บิลล์ ไนฮีย์,คาริช แวน ฮิวเท็น,โธมัส เคร็ทสช์แมนน์,เอ็ดดี อิซซาร์ด,คริสเตียน เบอร์เคล,เทอเรนส์ แสตมป์


เรื่องย่อ
นายพันเอกเคล้าส์ ฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก (ทอม ครูซ) เป็นข้าราชการทหารผู้องอาจ และสาบานตนรับใช้ประเทศยิ่งชีพ ทั้งยังหวังให้ใครสักคนเข้ามายุติความบ้าระห่ำของฮิตเลอร์ (David Bamber) ก่อนที่ทั้งทวีปยุโรป และประเทศเยอรมันนี เองจะถูกทำลายย่อยยับ

เมื่อเขาตระหนักแล้วว่า เวลาช่างเหลือน้อยลงทุกที ก็จึงตัดสินใจลงมือปฏิบัติการอุกอาจด้วยตนเอง และร่วมกับกองกำลังชาวเยอรมันผู้ต่อต้านการปกครองของกองทัพนาซี เขาอาศัยจังหวะที่มีการประกาศใช้แผนฉุกเฉินของฮิตเล่อร์ เองที่เรียกขานกันว่า ปฏิบัติการวัลคีรี่ กองกำลังนี้มุ่งลอบสังหารผู้นำจอมเผด็จการและโค่นล้มรัฐบาลนาซีของเขาจากวง ใน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ โดยมีอนาคตของโลก, ชะตากรรมของคนนับล้าน, รวมทั้งชีวิตลูกเมียของฟอน สเต๊าฟ์เฟนแบร์ก, เป็นเดิมพัน เขาจึงก้าวข้ามจากคนที่เคยคิดต่อต้านฮิตเลอร์มาเป็นคนที่จะต้องลงมือสังหาร ผู้นำจอมโหดด้วยตัวเอง






ปักษาวายุ


ลีน่า (รับบทโดย ซาร่า เล็กจ์) สาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เป็นลูกสาวของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ที่เคยค้นพบโครงกระดูก ของสัตว์ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ที่มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในตำนานของภูมิภาคเอเชีย แต่หลักฐานทั้งหมดก็หายไป เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ทำให้หลุมขุดค้นจมหายไป พ่อของลีน่าถูกกล่าวหาว่าหลอกลวง และบิดเบือนข้อเท็จจริงทางโบราณคดี เนื่องจากมีแต่คำพูดที่ปราศจากหลักฐานยืนยัน จนเขาต้องเดินทางมาหาหลักฐานที่ใกล้เคียงชิ้นสุดท้าย ที่อาจจะอยู่ในประเทศไทย ตามตำนานโบราณ แต่ความพยายามดูจะไร้ผล เมื่อเงินส่วนตัวที่สะสมไว้เริ่มหมดไป โดยที่เขายังไม่พบร่องรอยอะไรเลย เขาเริ่มท้อแท้และตรอมใจตาย ลีน่าเป็นลูกสาวคนเดียว ที่เขามีกับสาวไทยที่เขาพบรัก ตอนสมัยที่ตามหาเบาะแสในเมืองไทย ลีน่าได้รับการปลูกฝังความชอบในวิชาโบราณคดี ตั้งแต่เด็กทำให้เธอมีความมุ่งมั่น ที่จะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อให้เป็นจริง

เมื่อลีน่าโตขึ้น เธอเพียบพร้อมด้วยความรู้ ที่ร่ำเรียนมาจากสถาบันโบราณคดี ชั้นแนวหน้าของต่างประเทศ ลีน่าเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับทุนวิจัย เพื่อทำการขุดค้นหาหลักฐานในเมืองไทย พร้อมกับเพื่อนนักวิจัยชาวฝรั่งเศส ทิม (รับบทโดย Mr.Danial Fraser) ลีน่าทำเรื่องเพื่อขอขุดค้นในพื้นที่ ที่มีร่องรอยของสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไทย ตามที่พ่อของเธอเคยสันนิษฐานไว้ โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นที่โครงการขุดเจาะรถไฟฟ้าใต้ดินเฟส 2 ใต้กรุงเทพมหานครซึ่งกำลังก่อสร้าง มีการขุดเจอโครงกระดูกของสัตว์โบราณโดยบังเอิญ ลีน่าถูกติดต่อให้ไปทำการวิจัยโครงกระดูกนั้น เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พ่อเธอเคยเจอ

ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเอง ลีน่าได้พบกับกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่ ที่ได้รับคำสั่งให้มาควบคุมดูแลการขุดค้น ลีน่าจึงได้พบกับ แทน (รับบทโดย ศรราม เทพพิทักษ์) นายทหารหนุ่มที่ดูแลกองทหาร ทั้งสองขัดแย้งกันทันที โดยแทนเตือนลีน่าว่า โครงกระดูกที่ค้นพบนั้น อาจไม่ใช่เป็นแค่สัตว์เดียรัจฉานธรรมดา ลีน่าบอกว่าแทนมีความเชื่อที่เหลวไหล สัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์อยู่ดี ไม่สามารถกลายเป็นอย่างอื่นไปได้

แล้วทั้งลีน่าและแทนก็ได้พบว่า หลุมขุดเจาะนั้นยังมีถ้ำโบราณ อยู่ภายใต้ทางรถไฟฟ้านั้นอีก ซึ่งในถ้ำนั้นเป็นที่อยู่ของสัตว์โบราณ ที่ยังคงมีเนื้อหนังที่สมบูรณ์ ดูคล้ายสัตว์ที่จำศีลอยู่มาเป็นเวลานานนับหมื่นปี และด้วยเหตุบังเอิญ ทำให้สัตว์โบราณตื่นขึ้น และออกอาละวาดในทันที เพื่อจะต้องการตามหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน ที่หลงเหลืออยู่

ลีน่า, แทน พร้อมทั้งเพื่อนทหารอีก 6 นาย ได้แก่ ไกร (รับบทโดย ชลัฏ ณ สงขลา), วิทย์ (รับบทโดย สุทธิพงษ์ สามคุ้มพิมพ์), ทนง (รับบทโดย ธนพงษ์ ขำวิทย์), หาญ (รับบทโดย ปิยะ วิมุกตายน), กล้า (รับบทโดย สุทธิพร เมธา), พล (รับบทโดย พีรนันท์ โกตน) และนักวิชาการ รวมทั้งอีกหลายชีวิตที่ต้องเอาตัวรอด จากความโกรธและโมโหของสัตว์โบราณ โดยการไล่ล่าเกิดขึ้น ภายใต้พื้นดินกรุงเทพฯ อันเป็นสถานที่ ก่อสร้างทางรถไฟฟ้าใต้ดินเฟส 2 ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ความพยายามของแทน ที่จะป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายนั้น หลุดรอดจากใต้ดินก็ล้มเหลว สัตว์โบราณนั้นสามารถหลุดออกจากสถานีใต้ดิน พร้อมคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ลีน่าจึงเริ่มสำนึกความจริงที่ว่า การเพียรพยายามเปิดเผยความจริง เรื่องสัตว์โบราณตัวนี้ กับการต้องแลกด้วยชีวิตคนมากมาย มันไม่คุ้มกันเลย แล้วเธอจะช่วยแทนแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไร..



ปักษาวายุ


ลีน่า (รับบทโดย ซาร่า เล็กจ์) สาวลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เป็นลูกสาวของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ที่เคยค้นพบโครงกระดูก ของสัตว์ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ที่มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในตำนานของภูมิภาคเอเชีย แต่หลักฐานทั้งหมดก็หายไป เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ทำให้หลุมขุดค้นจมหายไป พ่อของลีน่าถูกกล่าวหาว่าหลอกลวง และบิดเบือนข้อเท็จจริงทางโบราณคดี เนื่องจากมีแต่คำพูดที่ปราศจากหลักฐานยืนยัน จนเขาต้องเดินทางมาหาหลักฐานที่ใกล้เคียงชิ้นสุดท้าย ที่อาจจะอยู่ในประเทศไทย ตามตำนานโบราณ แต่ความพยายามดูจะไร้ผล เมื่อเงินส่วนตัวที่สะสมไว้เริ่มหมดไป โดยที่เขายังไม่พบร่องรอยอะไรเลย เขาเริ่มท้อแท้และตรอมใจตาย ลีน่าเป็นลูกสาวคนเดียว ที่เขามีกับสาวไทยที่เขาพบรัก ตอนสมัยที่ตามหาเบาะแสในเมืองไทย ลีน่าได้รับการปลูกฝังความชอบในวิชาโบราณคดี ตั้งแต่เด็กทำให้เธอมีความมุ่งมั่น ที่จะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อให้เป็นจริง

เมื่อลีน่าโตขึ้น เธอเพียบพร้อมด้วยความรู้ ที่ร่ำเรียนมาจากสถาบันโบราณคดี ชั้นแนวหน้าของต่างประเทศ ลีน่าเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับทุนวิจัย เพื่อทำการขุดค้นหาหลักฐานในเมืองไทย พร้อมกับเพื่อนนักวิจัยชาวฝรั่งเศส ทิม (รับบทโดย Mr.Danial Fraser) ลีน่าทำเรื่องเพื่อขอขุดค้นในพื้นที่ ที่มีร่องรอยของสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไทย ตามที่พ่อของเธอเคยสันนิษฐานไว้ โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นที่โครงการขุดเจาะรถไฟฟ้าใต้ดินเฟส 2 ใต้กรุงเทพมหานครซึ่งกำลังก่อสร้าง มีการขุดเจอโครงกระดูกของสัตว์โบราณโดยบังเอิญ ลีน่าถูกติดต่อให้ไปทำการวิจัยโครงกระดูกนั้น เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พ่อเธอเคยเจอ

ณ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนั่นเอง ลีน่าได้พบกับกองกำลังทหารกลุ่มใหญ่ ที่ได้รับคำสั่งให้มาควบคุมดูแลการขุดค้น ลีน่าจึงได้พบกับ แทน (รับบทโดย ศรราม เทพพิทักษ์) นายทหารหนุ่มที่ดูแลกองทหาร ทั้งสองขัดแย้งกันทันที โดยแทนเตือนลีน่าว่า โครงกระดูกที่ค้นพบนั้น อาจไม่ใช่เป็นแค่สัตว์เดียรัจฉานธรรมดา ลีน่าบอกว่าแทนมีความเชื่อที่เหลวไหล สัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์อยู่ดี ไม่สามารถกลายเป็นอย่างอื่นไปได้

แล้วทั้งลีน่าและแทนก็ได้พบว่า หลุมขุดเจาะนั้นยังมีถ้ำโบราณ อยู่ภายใต้ทางรถไฟฟ้านั้นอีก ซึ่งในถ้ำนั้นเป็นที่อยู่ของสัตว์โบราณ ที่ยังคงมีเนื้อหนังที่สมบูรณ์ ดูคล้ายสัตว์ที่จำศีลอยู่มาเป็นเวลานานนับหมื่นปี และด้วยเหตุบังเอิญ ทำให้สัตว์โบราณตื่นขึ้น และออกอาละวาดในทันที เพื่อจะต้องการตามหาเผ่าพันธุ์เดียวกัน ที่หลงเหลืออยู่

ลีน่า, แทน พร้อมทั้งเพื่อนทหารอีก 6 นาย ได้แก่ ไกร (รับบทโดย ชลัฏ ณ สงขลา), วิทย์ (รับบทโดย สุทธิพงษ์ สามคุ้มพิมพ์), ทนง (รับบทโดย ธนพงษ์ ขำวิทย์), หาญ (รับบทโดย ปิยะ วิมุกตายน), กล้า (รับบทโดย สุทธิพร เมธา), พล (รับบทโดย พีรนันท์ โกตน) และนักวิชาการ รวมทั้งอีกหลายชีวิตที่ต้องเอาตัวรอด จากความโกรธและโมโหของสัตว์โบราณ โดยการไล่ล่าเกิดขึ้น ภายใต้พื้นดินกรุงเทพฯ อันเป็นสถานที่ ก่อสร้างทางรถไฟฟ้าใต้ดินเฟส 2 ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ความพยายามของแทน ที่จะป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายนั้น หลุดรอดจากใต้ดินก็ล้มเหลว สัตว์โบราณนั้นสามารถหลุดออกจากสถานีใต้ดิน พร้อมคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ลีน่าจึงเริ่มสำนึกความจริงที่ว่า การเพียรพยายามเปิดเผยความจริง เรื่องสัตว์โบราณตัวนี้ กับการต้องแลกด้วยชีวิตคนมากมาย มันไม่คุ้มกันเลย แล้วเธอจะช่วยแทนแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไร..



สุดสาคร

http://www.filmpublic.com/topic/0/0/0/0/0000100//images/posterteaser.jpg

การ พบกันระหว่าง สุดสาคร กับ ม้านิลมังกร นั่นหมายถึงการจากลา จาก พระเจ้าตา และ แม่นางเงือก และหมายถึงการเริ่มต้นสู่การผจญภัยที่เหนือจินตนาการ เพื่อเดินทางตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นบิดา ไปสู่ดินแดนที่สุดสาครไม่เคยรู้จัก

ใน ขณะเดียวกันทางฝ่าย พระอภัยมณี กับ นางสุวรรณมาลี และสินสมุทร เกิดเรืออับปางลงกลางทะเล นางสุวรรณมาลี กับสินสมุทรลอยคออยู่กลางทะเลและถูกโจรสลัดนามว่า สุหรั่ง จับตัวไว้ หากแต่สินสมุทรผู้มีพลังอำนาจ ได้ปราบโจรสลัดเสียสิ้น สมุนของโจรจึงกลับใจมาช่วยสินสมุทรตามหาผู้เป็นบิดาที่พลัดหลง ส่วนพระอภัยมณี ลอยตามน้ำไปสู่เมืองลังกาและถูกอุศเรนจับไว้เป็นตัวประกันในการทำศึกกับศรี สุวรรณเจ้าเมืองรมจักรผู้เป็นน้องของพระอภัยมณี

การ ผจญภัยของสุดสาครถึงคราวเข้าตาจนอีกครั้งเมื่อพบกับ ชีเปลือย ที่ลวง สุดสาครว่าจะถ่ายทอดวิชาข้ามทะเลน้ำกรดให้ เมื่อหลงเชื่อ ชีเปลือยจึงชิงเอาไม้เท้ากายสิทธ์กับม้านิลมังกรมุ่งหน้าสู่เมืองการเวก และทำให้สุดสาครต้องตกลงไปในก้นเหว ม้านิลมังกรได้จังหวะระหว่างที่ ชีเปลือย เสวยสุขอยู่ในเมืองการเวกนั้น หลบหนีออกมทาช่วยสุดสาคร และด้วยบุญญาธิการสุดสาครจึงรอดตายและขี่ม้านิลมังกรกลับมาเมืองการเวกเพื่อ ทวงถามความจริงให้กับท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกและชาวเมือง และเมื่อสุดสาครได้ปราบชีเปลือยจนรู้แพ้ชนะแล้ว จึงออกเดินทางไปปราบเหล่าผีเสื้อยักษ์ ที่คอยก่อกวนชาวเมืองที่ต้องเดินทางค้าขายทางสำเภาเรือ

ณ เกาะแห่งหนึ่ง สุดสาครได้ออกไปปราบผีเสื้อยักษ์ ร่วมกับเหล่าทหารผู้กล้าเมืองการเวก แต่ในสำเภาเจ้าชายหัสชัย กับ เจ้าหญิงเสาวคนธ์ แอบซ่อนไปด้วย และเมื่อเจ้าหญิงเสาวคนธ์ขึ้นมาจากท้องเรือก็ถูกผีเสื้อยักษ์โฉบเอาตัวไป สุดสาครจึงขี่ม้านิลมังกรเร่งติดตามไปช่วยเหลือ และปราบผีเสื้อยักษ์เสียราบคาบ และนำตัวเจ้าหญิงเสาวคนธ์กลับมาได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายกองทัพอุศเรน เดินทางมาถึงจุดนัดหมายพร้อมกับทำการรบกองทัพศรีสุวรรณ การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด ท่ามกลางการสุมดูของสินสมุทร สุวรรณมาลีที่รอเวลาจะเข้าช่วยเหลือ ทางฝ่ายสุดสาครเดินเรือมาถึงเห็นการรบมาแต่ไกล จึงทราบว่าเป็นการรบกันระหว่างท้าวอุศเรนและศรีสุวรรณผู้เป็นน้าของตน สุดสาครไม่รอช้าจึงตรงเข้าช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ ขณะเดียวกันสินสมุทรได้จังหวะจึงนำเหล่าสมุนโจรตรงเข้าช่วยรบ จนในที่สุดความปราชัยเป็นของท้าวอุศเรนแห่งเมืองลังกา

สุดสาครแนะนำตนเองกับพระอภัยมณีด้วยการนำปิ่นปักผมจากแม่นางเงือกที่ให้ติด ตัวไว้ พระอภัยมณีเห็นดังนั้นจึงทราบเรื่องราวเป็นอย่างดี ทั้งหมดได้พบเจอกันด้วยความปิติสุข

สุดสาคร

http://www.filmpublic.com/topic/0/0/0/0/0000100//images/posterteaser.jpg

การ พบกันระหว่าง สุดสาคร กับ ม้านิลมังกร นั่นหมายถึงการจากลา จาก พระเจ้าตา และ แม่นางเงือก และหมายถึงการเริ่มต้นสู่การผจญภัยที่เหนือจินตนาการ เพื่อเดินทางตามหา พระอภัยมณี ผู้เป็นบิดา ไปสู่ดินแดนที่สุดสาครไม่เคยรู้จัก

ใน ขณะเดียวกันทางฝ่าย พระอภัยมณี กับ นางสุวรรณมาลี และสินสมุทร เกิดเรืออับปางลงกลางทะเล นางสุวรรณมาลี กับสินสมุทรลอยคออยู่กลางทะเลและถูกโจรสลัดนามว่า สุหรั่ง จับตัวไว้ หากแต่สินสมุทรผู้มีพลังอำนาจ ได้ปราบโจรสลัดเสียสิ้น สมุนของโจรจึงกลับใจมาช่วยสินสมุทรตามหาผู้เป็นบิดาที่พลัดหลง ส่วนพระอภัยมณี ลอยตามน้ำไปสู่เมืองลังกาและถูกอุศเรนจับไว้เป็นตัวประกันในการทำศึกกับศรี สุวรรณเจ้าเมืองรมจักรผู้เป็นน้องของพระอภัยมณี

การ ผจญภัยของสุดสาครถึงคราวเข้าตาจนอีกครั้งเมื่อพบกับ ชีเปลือย ที่ลวง สุดสาครว่าจะถ่ายทอดวิชาข้ามทะเลน้ำกรดให้ เมื่อหลงเชื่อ ชีเปลือยจึงชิงเอาไม้เท้ากายสิทธ์กับม้านิลมังกรมุ่งหน้าสู่เมืองการเวก และทำให้สุดสาครต้องตกลงไปในก้นเหว ม้านิลมังกรได้จังหวะระหว่างที่ ชีเปลือย เสวยสุขอยู่ในเมืองการเวกนั้น หลบหนีออกมทาช่วยสุดสาคร และด้วยบุญญาธิการสุดสาครจึงรอดตายและขี่ม้านิลมังกรกลับมาเมืองการเวกเพื่อ ทวงถามความจริงให้กับท้าวสุริโยทัยเจ้าเมืองการเวกและชาวเมือง และเมื่อสุดสาครได้ปราบชีเปลือยจนรู้แพ้ชนะแล้ว จึงออกเดินทางไปปราบเหล่าผีเสื้อยักษ์ ที่คอยก่อกวนชาวเมืองที่ต้องเดินทางค้าขายทางสำเภาเรือ

ณ เกาะแห่งหนึ่ง สุดสาครได้ออกไปปราบผีเสื้อยักษ์ ร่วมกับเหล่าทหารผู้กล้าเมืองการเวก แต่ในสำเภาเจ้าชายหัสชัย กับ เจ้าหญิงเสาวคนธ์ แอบซ่อนไปด้วย และเมื่อเจ้าหญิงเสาวคนธ์ขึ้นมาจากท้องเรือก็ถูกผีเสื้อยักษ์โฉบเอาตัวไป สุดสาครจึงขี่ม้านิลมังกรเร่งติดตามไปช่วยเหลือ และปราบผีเสื้อยักษ์เสียราบคาบ และนำตัวเจ้าหญิงเสาวคนธ์กลับมาได้อย่างปลอดภัย ฝ่ายกองทัพอุศเรน เดินทางมาถึงจุดนัดหมายพร้อมกับทำการรบกองทัพศรีสุวรรณ การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด ท่ามกลางการสุมดูของสินสมุทร สุวรรณมาลีที่รอเวลาจะเข้าช่วยเหลือ ทางฝ่ายสุดสาครเดินเรือมาถึงเห็นการรบมาแต่ไกล จึงทราบว่าเป็นการรบกันระหว่างท้าวอุศเรนและศรีสุวรรณผู้เป็นน้าของตน สุดสาครไม่รอช้าจึงตรงเข้าช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ ขณะเดียวกันสินสมุทรได้จังหวะจึงนำเหล่าสมุนโจรตรงเข้าช่วยรบ จนในที่สุดความปราชัยเป็นของท้าวอุศเรนแห่งเมืองลังกา

สุดสาครแนะนำตนเองกับพระอภัยมณีด้วยการนำปิ่นปักผมจากแม่นางเงือกที่ให้ติด ตัวไว้ พระอภัยมณีเห็นดังนั้นจึงทราบเรื่องราวเป็นอย่างดี ทั้งหมดได้พบเจอกันด้วยความปิติสุข

คลับซ่า ปิดตำราแสบ

เมื่อ ผู้บริหารคนใหม่ของโรงเรียนสมชาย - สายสมรวิทยา ต้องการพลิกโฉมหน้าของโรงเรียน ซึ่งมีประวัติก่อตั้งยาวนานกว่า 53 ปี ให้กลายมาเป็นโรงเรียนชายล้วน และหญิงล้วนให้ได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของอาจารย์รุ่นเก่า และบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด กลุ่มผู้บริหารจึงยื่นเงื่อนไขว่า ทุกคนจะต้องทำชื่อเสียง และผลกำไรมาสู่โรงเรียน ให้ได้ภายในเทอมแรก หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ทางผู้บริหารก็จะเปลี่ยนแปลงนโยบายทันที ทั้งลูกศิษย์และอาจารย์จึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อพลิกสถานการณ์วิกฤต ให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม...

ท่ามกลางบรรยากาศซึมเศร้า.. แต่แล้ว โรงเรียนก็เกิดมีสีสันขึ้นมา เมื่อมีเด็กหนุ่มรูปหล่อชื่อ โด่ง (แทค - ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม) ก้าวเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ ที่โรงเรียนสมชายสายสมรวิทยาด้วยมาดเท่ โดนใจบรรดานักเรียนหญิงเข้าอย่างจัง มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะคว้า แป้ง (ต้อง - ศุภัชญา รื่นเริง) ที่ ตึ๋ง (โก้ บีมิกซ์ - จตุโชค หวังสุวรรณกิจ) หนุ่มแหยประจำโรงเรียน แอบหลงรักมาตั้งแต่ ป.1 ไปครองอีก สร้างความขัดใจกับตึ๋งเป็นที่สุด โอ๊ต (เจเจ - เจตต์ กลิ่นประทุม) ไอคิวต่ำ และ แท็ต (แจ๊ค - บริวัตร อยู่โต) หนุ่มฟันเหยินหน้าผี ก็คอยเป็นลูกยุตลอดเวลา ทำให้ตึ๋งไม่สบอารมณ์ และตั้งตัวเป็นศัตรูกับโด่งไปโดยปริยาย

ด้วยความซ่าและเท่แบบเกินพิกัดของโด่ง กลายเป็นที่ถูกใจบรรดาหญิงทั้งโรงเรียน ทำให้บรรดาหนุ่มเห่ยทั้งหลาย พากันมาขอร่ำเรียนวิชา จนโด่งต้องเปิด "คลับซ่า" ขึ้นมาแบบลับๆ ที่โรงยิมร้างหลังโรงเรียน รับโมดิฟายชายหนุ่มทั้งหลาย เพียงไม่กี่วัน สมาชิก "คลับซ่า" ก็ล้นทะลัก ไม่เว้นแม้แต่ สาลี่ (กิ๊บซี่ - วนิดา เติมธนาภรณ์) ซึ่งถูก พิงค์ (โบว์ - ยุคลธร พินิจ) ปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมชมรมเชียร์ลีดเดอร์ เพราะความเห่ย ก็ตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกหญิงเดียวในคลับ

ทุกคนที่เข้าไปทำการฝึกกับโด่งใน "คลับซ่า" ล้วนดูดีขึ้นทั้งนั้น ทำให้ ตึ๋ง, แท็ต และ โอ๊ต ซึ่งเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง ของบรรดาเพื่อนเห่ยๆ ของตนเริ่มใจคอไม่ดี อยากเข้า "คลับซ่า" ก็อยาก แต่ก็กลัวเสียฟอร์ม เลยไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นก่อน.. แต่แล้วจู่ๆ แท็ตที่เพื่อนๆ ล้อว่าเป็นหนุ่มหน้าผี ก็เกิดหน้าเด้งขึ้นมาผิดหูผิดตา ตึ๋งและโอ๊ตเลยจับได้ว่าที่แท้ แท็ตแอบไปเข้า "คลับซ่า" มาแล้ว แท็ตเลยต้องยอมรับว่า เพราะตนอยากจะเป็นแฟนกับพิงค์ เชียร์ลีดเดอร์ในฝัน เลยต้องทำการโมดิฟายตัวเอง โอ๊ตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อน เลยตัดสินใจจะไปเข้าคลับซ่าบ้าง เพื่อให้โด่งสอนวิธีเอาชนะใจ โย (อุ้ย - จารุพรรณ ตั้วเครือ) หวานใจซึ่งเป็นทอมโหดของตนเหมือนกัน แม้ตึ๋งจะพยายามยับยั้ง ไม่ให้เพื่อนไปรวมกลุ่ม "คลับซ่า" แต่ก็ไม่เป็นผล

วันหนึ่ง โด่งกำลังมีเรื่องกับอดีตคู่ปรับเก่า ในโรงเรียนดัดสันดาน บังเอิญตึ๋งขับรถเวสป้าผ่านมาพอดี เลยช่วยโด่งไว้ได้ทัน โด่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ จึงเสนอตัวช่วยให้ตึ๋งสมหวังกับแป้ง แต่ตึ๋งไม่รับ และยืนยันว่าจะทำให้แป้งรักด้วยตัวเอง ทำให้โด่งเห็นถึงความซ่าที่ซ่อนอยู่ในตัวตึ๋ง ทำให้โด่งคิดหาวิธีดึงออกมา เพื่อช่วยให้ตึ๋งได้สมหวังในความรัก

โด่งคิดจัดงานปาร์ตี้ "คลับซ่า" เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนๆ และที่สำคัญ ต้องการกระตุ้นให้ตึ๋งกล้าที่จะดึงความสามารถ ที่ตัวเองซ่อนอยู่ข้างใน ออกมาให้ทุกคนได้เห็นให้ได้ จากนั้นจึงกระจายข่าวงานปาร์ตี้กันแบบลับๆ บัตรเข้างานถูกกระจายไปแบบหมดเกลี้ยงภายในพริบตา.. ในวันงาน มีการเปิดตัวบรรดาหนุ่มๆ ที่ผ่านการโมดิฟายแล้ว ให้ทุกคนได้เห็นบนเวที และด้วยแผนอันแยบยลของโด่ง ทำให้บรรดาเพื่อนทุกคน กำลังเข้าใจกันได้ด้วยดี แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมีบรรดากลุ่มกระเทยคาบข่าวงานปาร์ตี้ลับๆ ในครั้งนี้ไปฟ้องอาจารย์ กลุ่มอาจารย์เลยบุกเข้ามาใน "คลับซ่า" สั่งปิดงานทันที พร้อมกับประกาศแยกตัวโรงเรียน ออกเป็นโรงเรียนชายล้วน และโรงเรียนหญิงล้วน อย่างเป็นทางการ

โด่งถูกเรียกไปทำทัณฑ์บน หากทำผิดแค่ครั้งเดียวจะต้องโดนไล่ออก ส่วนตึ๋งซึ่งเข้าใจว่าสิ่งที่โด่งต้องการจะทำ ไม่ใช่แค่การไล่จีบหญิง แต่เป็นการทำให้เด็กที่ขึ้นชื่อว่า ไม่เอาไหน ได้รู้จักคำว่า Go For It พวกตึ๋งพยายามปลุกระดมให้ทุกคนเห็นด้วย แต่ทุกคนก็ตกอยู่ในสถานการณ์กล้าๆ กลัวๆ

แล้วสถานการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อกลุ่มคนร้ายที่หนีตำรวจ บุกเข้ามายึดโรงยิม หรืออดีต "คลับซ่า" ของเด็กๆ โดยจับตัวนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยหนึ่งในนักเรียนกลุ่มนั้น มีแป้งรวมอยู่ด้วย ตึ๋งรู้เข้าจึงขอร้องให้โด่งหาทางช่วยแป้งออกมา.. แม้โด่งจะถูกทำทัณฑ์บน แต่เพื่อเพื่อน โด่งจึงตัดสินใจร่วมมือกับตึ๋ง วางแผนเข้าไปชิงตัวประกันออกมา โด่งกับตึ๋งเกือบจะเพลี้ยงพล้ำ แต่ในช่วงวินาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน สมาชิกชาว "คลับซ่า" ทุกคน ก็บุกฮือกันเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ ด้วยแผนอันชาญฉลาดของโด่ง บวกกับความกล้าหาญของตึ๋ง และพลังของลูกผู้ชาย "คลับซ่า" ทุกคน สามารถสยบคนร้ายได้สำเร็จ

ในขณะที่ทุกคนกำลังฮือฮากับความสำเร็จอยู่นั้น ผู้บริหารก็ออกมาประกาศว่า ถึงแม้โด่งจะช่วยกู้สถานการณ์เลวร้ายของโรงเรียนไว้ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการละเมิดทัณฑ์บน โด่งจึงต้องถูกไล่ออก!! เมื่อสถานการณ์กลับพลิกผัน กลุ่ม "คลับซ่า" จะร่วมต่อสู้เรียกร้อง ให้โด่งพ้นจากการถูกไล่ออกหรือไม่


คลับซ่า ปิดตำราแสบ

เมื่อ ผู้บริหารคนใหม่ของโรงเรียนสมชาย - สายสมรวิทยา ต้องการพลิกโฉมหน้าของโรงเรียน ซึ่งมีประวัติก่อตั้งยาวนานกว่า 53 ปี ให้กลายมาเป็นโรงเรียนชายล้วน และหญิงล้วนให้ได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของอาจารย์รุ่นเก่า และบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด กลุ่มผู้บริหารจึงยื่นเงื่อนไขว่า ทุกคนจะต้องทำชื่อเสียง และผลกำไรมาสู่โรงเรียน ให้ได้ภายในเทอมแรก หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ทางผู้บริหารก็จะเปลี่ยนแปลงนโยบายทันที ทั้งลูกศิษย์และอาจารย์จึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อพลิกสถานการณ์วิกฤต ให้กลับมาเหมือนเดิม แม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม...

ท่ามกลางบรรยากาศซึมเศร้า.. แต่แล้ว โรงเรียนก็เกิดมีสีสันขึ้นมา เมื่อมีเด็กหนุ่มรูปหล่อชื่อ โด่ง (แทค - ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม) ก้าวเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ ที่โรงเรียนสมชายสายสมรวิทยาด้วยมาดเท่ โดนใจบรรดานักเรียนหญิงเข้าอย่างจัง มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มว่าจะคว้า แป้ง (ต้อง - ศุภัชญา รื่นเริง) ที่ ตึ๋ง (โก้ บีมิกซ์ - จตุโชค หวังสุวรรณกิจ) หนุ่มแหยประจำโรงเรียน แอบหลงรักมาตั้งแต่ ป.1 ไปครองอีก สร้างความขัดใจกับตึ๋งเป็นที่สุด โอ๊ต (เจเจ - เจตต์ กลิ่นประทุม) ไอคิวต่ำ และ แท็ต (แจ๊ค - บริวัตร อยู่โต) หนุ่มฟันเหยินหน้าผี ก็คอยเป็นลูกยุตลอดเวลา ทำให้ตึ๋งไม่สบอารมณ์ และตั้งตัวเป็นศัตรูกับโด่งไปโดยปริยาย

ด้วยความซ่าและเท่แบบเกินพิกัดของโด่ง กลายเป็นที่ถูกใจบรรดาหญิงทั้งโรงเรียน ทำให้บรรดาหนุ่มเห่ยทั้งหลาย พากันมาขอร่ำเรียนวิชา จนโด่งต้องเปิด "คลับซ่า" ขึ้นมาแบบลับๆ ที่โรงยิมร้างหลังโรงเรียน รับโมดิฟายชายหนุ่มทั้งหลาย เพียงไม่กี่วัน สมาชิก "คลับซ่า" ก็ล้นทะลัก ไม่เว้นแม้แต่ สาลี่ (กิ๊บซี่ - วนิดา เติมธนาภรณ์) ซึ่งถูก พิงค์ (โบว์ - ยุคลธร พินิจ) ปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมชมรมเชียร์ลีดเดอร์ เพราะความเห่ย ก็ตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกหญิงเดียวในคลับ

ทุกคนที่เข้าไปทำการฝึกกับโด่งใน "คลับซ่า" ล้วนดูดีขึ้นทั้งนั้น ทำให้ ตึ๋ง, แท็ต และ โอ๊ต ซึ่งเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลง ของบรรดาเพื่อนเห่ยๆ ของตนเริ่มใจคอไม่ดี อยากเข้า "คลับซ่า" ก็อยาก แต่ก็กลัวเสียฟอร์ม เลยไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นก่อน.. แต่แล้วจู่ๆ แท็ตที่เพื่อนๆ ล้อว่าเป็นหนุ่มหน้าผี ก็เกิดหน้าเด้งขึ้นมาผิดหูผิดตา ตึ๋งและโอ๊ตเลยจับได้ว่าที่แท้ แท็ตแอบไปเข้า "คลับซ่า" มาแล้ว แท็ตเลยต้องยอมรับว่า เพราะตนอยากจะเป็นแฟนกับพิงค์ เชียร์ลีดเดอร์ในฝัน เลยต้องทำการโมดิฟายตัวเอง โอ๊ตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อน เลยตัดสินใจจะไปเข้าคลับซ่าบ้าง เพื่อให้โด่งสอนวิธีเอาชนะใจ โย (อุ้ย - จารุพรรณ ตั้วเครือ) หวานใจซึ่งเป็นทอมโหดของตนเหมือนกัน แม้ตึ๋งจะพยายามยับยั้ง ไม่ให้เพื่อนไปรวมกลุ่ม "คลับซ่า" แต่ก็ไม่เป็นผล

วันหนึ่ง โด่งกำลังมีเรื่องกับอดีตคู่ปรับเก่า ในโรงเรียนดัดสันดาน บังเอิญตึ๋งขับรถเวสป้าผ่านมาพอดี เลยช่วยโด่งไว้ได้ทัน โด่งรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ จึงเสนอตัวช่วยให้ตึ๋งสมหวังกับแป้ง แต่ตึ๋งไม่รับ และยืนยันว่าจะทำให้แป้งรักด้วยตัวเอง ทำให้โด่งเห็นถึงความซ่าที่ซ่อนอยู่ในตัวตึ๋ง ทำให้โด่งคิดหาวิธีดึงออกมา เพื่อช่วยให้ตึ๋งได้สมหวังในความรัก

โด่งคิดจัดงานปาร์ตี้ "คลับซ่า" เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนๆ และที่สำคัญ ต้องการกระตุ้นให้ตึ๋งกล้าที่จะดึงความสามารถ ที่ตัวเองซ่อนอยู่ข้างใน ออกมาให้ทุกคนได้เห็นให้ได้ จากนั้นจึงกระจายข่าวงานปาร์ตี้กันแบบลับๆ บัตรเข้างานถูกกระจายไปแบบหมดเกลี้ยงภายในพริบตา.. ในวันงาน มีการเปิดตัวบรรดาหนุ่มๆ ที่ผ่านการโมดิฟายแล้ว ให้ทุกคนได้เห็นบนเวที และด้วยแผนอันแยบยลของโด่ง ทำให้บรรดาเพื่อนทุกคน กำลังเข้าใจกันได้ด้วยดี แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะมีบรรดากลุ่มกระเทยคาบข่าวงานปาร์ตี้ลับๆ ในครั้งนี้ไปฟ้องอาจารย์ กลุ่มอาจารย์เลยบุกเข้ามาใน "คลับซ่า" สั่งปิดงานทันที พร้อมกับประกาศแยกตัวโรงเรียน ออกเป็นโรงเรียนชายล้วน และโรงเรียนหญิงล้วน อย่างเป็นทางการ

โด่งถูกเรียกไปทำทัณฑ์บน หากทำผิดแค่ครั้งเดียวจะต้องโดนไล่ออก ส่วนตึ๋งซึ่งเข้าใจว่าสิ่งที่โด่งต้องการจะทำ ไม่ใช่แค่การไล่จีบหญิง แต่เป็นการทำให้เด็กที่ขึ้นชื่อว่า ไม่เอาไหน ได้รู้จักคำว่า Go For It พวกตึ๋งพยายามปลุกระดมให้ทุกคนเห็นด้วย แต่ทุกคนก็ตกอยู่ในสถานการณ์กล้าๆ กลัวๆ

แล้วสถานการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อกลุ่มคนร้ายที่หนีตำรวจ บุกเข้ามายึดโรงยิม หรืออดีต "คลับซ่า" ของเด็กๆ โดยจับตัวนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยหนึ่งในนักเรียนกลุ่มนั้น มีแป้งรวมอยู่ด้วย ตึ๋งรู้เข้าจึงขอร้องให้โด่งหาทางช่วยแป้งออกมา.. แม้โด่งจะถูกทำทัณฑ์บน แต่เพื่อเพื่อน โด่งจึงตัดสินใจร่วมมือกับตึ๋ง วางแผนเข้าไปชิงตัวประกันออกมา โด่งกับตึ๋งเกือบจะเพลี้ยงพล้ำ แต่ในช่วงวินาทีหน้าสิ่วหน้าขวาน สมาชิกชาว "คลับซ่า" ทุกคน ก็บุกฮือกันเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ ด้วยแผนอันชาญฉลาดของโด่ง บวกกับความกล้าหาญของตึ๋ง และพลังของลูกผู้ชาย "คลับซ่า" ทุกคน สามารถสยบคนร้ายได้สำเร็จ

ในขณะที่ทุกคนกำลังฮือฮากับความสำเร็จอยู่นั้น ผู้บริหารก็ออกมาประกาศว่า ถึงแม้โด่งจะช่วยกู้สถานการณ์เลวร้ายของโรงเรียนไว้ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นการละเมิดทัณฑ์บน โด่งจึงต้องถูกไล่ออก!! เมื่อสถานการณ์กลับพลิกผัน กลุ่ม "คลับซ่า" จะร่วมต่อสู้เรียกร้อง ให้โด่งพ้นจากการถูกไล่ออกหรือไม่


ช็อคโกแลต Chocolate

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

เซน (จีจ้า ) หญิงสาววัย 22 เธอเป็นเด็กออทิสติคที่มีความสามารถทางด้านการต่อสู้อย่างร้ายกาจ เซนอาศัยอยู่กับซิน ผู้เป็นแม่ (อมรา ศิริพงษ์ ) ในชีวิตเซนมีสิ่งที่เธอชอบอยู่ไม่กี่อย่าง คนที่เธอรักมีไม่กี่คนหนึ่งในนั้นคือแม่ คนที่เธอรักดั่งดวงใจ แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ความเป็นอยู่ในครอบครัวเริ่มลำบาก เงินทองเริ่มหมดไปกับการรักษา แต่โชคชะตาก็นำพาให้เธอเข้าไปตกอยู่ในวังวนแห่งการต่อสู้ซึ่งเต็มไปด้วย อันตราย เซนได้เจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยรายชื่อคนที่เคยเป็นหนี้แม่ของ เธอ เซนจึงขอร้องแมงมุม เพื่อนคนเดียวที่เธอมีอยู่ให้ช่วยไปตามเก็บเงินตามรายชื่อเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า บุคคลเหล่านั้นพร้อมจะสังหารเธอได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญรายชื่อทุกรายจะเกี่ยวข้องกับบุรุษลึกลับที่มีรหัสว่า No.8

และเมื่อ No.8 ทราบเรื่องและสืบหาความจริงจนพบว่า การต่อสู้ที่อันตรายของเซนนั้นกำลังเกี่ยวพันกับเจ้านายนักการเมืองชื่อดัง จึงทำให้ No.8 ต้องกำจัดเซนให้สิ้นซาก การสังหารด้วยหมัดต่อหมัดครั้งนี้มีชีวิตของซิน แม่ผู้เป็นทั้งหมดของชีวิตเซนเป็นเดิมพัน เธอต้องต่อสู้ทุกอย่างแม้ต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อให้แม่อยู่กับเธอไปนานๆ

ช็อคโกแลต Chocolate

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

เซน (จีจ้า ) หญิงสาววัย 22 เธอเป็นเด็กออทิสติคที่มีความสามารถทางด้านการต่อสู้อย่างร้ายกาจ เซนอาศัยอยู่กับซิน ผู้เป็นแม่ (อมรา ศิริพงษ์ ) ในชีวิตเซนมีสิ่งที่เธอชอบอยู่ไม่กี่อย่าง คนที่เธอรักมีไม่กี่คนหนึ่งในนั้นคือแม่ คนที่เธอรักดั่งดวงใจ แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของเธอล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ความเป็นอยู่ในครอบครัวเริ่มลำบาก เงินทองเริ่มหมดไปกับการรักษา แต่โชคชะตาก็นำพาให้เธอเข้าไปตกอยู่ในวังวนแห่งการต่อสู้ซึ่งเต็มไปด้วย อันตราย เซนได้เจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยรายชื่อคนที่เคยเป็นหนี้แม่ของ เธอ เซนจึงขอร้องแมงมุม เพื่อนคนเดียวที่เธอมีอยู่ให้ช่วยไปตามเก็บเงินตามรายชื่อเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า บุคคลเหล่านั้นพร้อมจะสังหารเธอได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญรายชื่อทุกรายจะเกี่ยวข้องกับบุรุษลึกลับที่มีรหัสว่า No.8

และเมื่อ No.8 ทราบเรื่องและสืบหาความจริงจนพบว่า การต่อสู้ที่อันตรายของเซนนั้นกำลังเกี่ยวพันกับเจ้านายนักการเมืองชื่อดัง จึงทำให้ No.8 ต้องกำจัดเซนให้สิ้นซาก การสังหารด้วยหมัดต่อหมัดครั้งนี้มีชีวิตของซิน แม่ผู้เป็นทั้งหมดของชีวิตเซนเป็นเดิมพัน เธอต้องต่อสู้ทุกอย่างแม้ต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อให้แม่อยู่กับเธอไปนานๆ

โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต


เชน (เต๋อ) พนักงานฉายหนังรุ่นน้องตัดสินใจร่วมมือกับ ยอด หัวหน้าห้องฉายแอบซูมหนังผีเรื่อง “ วิญญาณอาฆาต ” ซึ่งทางผู้กำกับฯ กับทีมงานเอามาฉายดูกันเองก่อนที่หนังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์จริง
ระหว่างที่ฉายหนังเชนเผลอหลับไป เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าก็พบว่ายอดหายไปแล้ว มีเพียงกล้องวิดีโอตกอยู่ ในกล้องไม่มีภาพอะไรเลยนอกจากสัญญาณซ่าๆ ว่างเปล่า เชนเครียดมากเพราะนักเลงที่จ้างยอดขู่จะมาเอา ”ของ” จากเชนให้ได้ เพราะตามหายอดไม่เจอ เชนจึงจำต้องแอบซูมหนังอีกครั้ง
คืนนั้นขณะที่กำลังซูมหนัง เชนกระหน่ำโทรหายอดอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่มีคนรับ แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของยอดก็ดังขึ้น ทั้งๆที่ในโรงมีเชนอยู่เพียงคนเดียว เชนพยายามมองหาที่มาของเสียง จนในที่สุดเชนก็พบว่าเสียงโทรศัพท์ของยอดดังออกมาจากลำโพงในโรงนั่นเอง ส่วนยอดก็กลายเป็นศพอยู่ในจอหนังไปแล้ว!
เชนกลัวจนแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร หลังจากคืนนั้น เหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ เหมือนกับที่ตัวละครในหนังเรื่อง “วิญญาณอาฆาต” เผชิญรุมเร้าเข้าใส่เชน
จนกระทั่ง ส้ม ('พั้นช์' วรกาญจน์) พนักงานเดินตั๋วที่เป็นแฟนเก่าของเชนเค้นจนได้รู้ความจริง ส้มบอกกับเชนว่าหนังผีเรื่องนี้สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต และ "ผีชบา" เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ !!!
ทั้งคู่จึงตัดสินใจช่วยกันค้นหาคำตอบแข่งกับเวลาว่า ทำไมเหตุการณ์ในหนังผีเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับเชน ที่สำคัญพวกเขาจะหยุดมันอย่างไร ก่อนที่เชนจะต้องตายตอนจบเหมือนกับพระเอกในหนัง

โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต


เชน (เต๋อ) พนักงานฉายหนังรุ่นน้องตัดสินใจร่วมมือกับ ยอด หัวหน้าห้องฉายแอบซูมหนังผีเรื่อง “ วิญญาณอาฆาต ” ซึ่งทางผู้กำกับฯ กับทีมงานเอามาฉายดูกันเองก่อนที่หนังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์จริง
ระหว่างที่ฉายหนังเชนเผลอหลับไป เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าก็พบว่ายอดหายไปแล้ว มีเพียงกล้องวิดีโอตกอยู่ ในกล้องไม่มีภาพอะไรเลยนอกจากสัญญาณซ่าๆ ว่างเปล่า เชนเครียดมากเพราะนักเลงที่จ้างยอดขู่จะมาเอา ”ของ” จากเชนให้ได้ เพราะตามหายอดไม่เจอ เชนจึงจำต้องแอบซูมหนังอีกครั้ง
คืนนั้นขณะที่กำลังซูมหนัง เชนกระหน่ำโทรหายอดอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่มีคนรับ แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของยอดก็ดังขึ้น ทั้งๆที่ในโรงมีเชนอยู่เพียงคนเดียว เชนพยายามมองหาที่มาของเสียง จนในที่สุดเชนก็พบว่าเสียงโทรศัพท์ของยอดดังออกมาจากลำโพงในโรงนั่นเอง ส่วนยอดก็กลายเป็นศพอยู่ในจอหนังไปแล้ว!
เชนกลัวจนแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร หลังจากคืนนั้น เหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ เหมือนกับที่ตัวละครในหนังเรื่อง “วิญญาณอาฆาต” เผชิญรุมเร้าเข้าใส่เชน
จนกระทั่ง ส้ม ('พั้นช์' วรกาญจน์) พนักงานเดินตั๋วที่เป็นแฟนเก่าของเชนเค้นจนได้รู้ความจริง ส้มบอกกับเชนว่าหนังผีเรื่องนี้สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต และ "ผีชบา" เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ !!!
ทั้งคู่จึงตัดสินใจช่วยกันค้นหาคำตอบแข่งกับเวลาว่า ทำไมเหตุการณ์ในหนังผีเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับเชน ที่สำคัญพวกเขาจะหยุดมันอย่างไร ก่อนที่เชนจะต้องตายตอนจบเหมือนกับพระเอกในหนัง

The Italian Job : ปล้นซ้อนปล้น พลิกถนนล่า



แผนการไร้ช่องโหว่ ภารกิจดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ ทางหนีทีไล่ปลอดโปร่ง อันตรายอย่างเดียวที่หัวหน้าแก๊งค์โจรอย่าง ชาร์ลี คร็อกเกอร์ (มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) ไม่ได้คาดคิดไว้ คืออันตรายจากลูกทีมของเขาเอง

หลังจากทำการปล้นทองคำแท่งมูลค่ามหาศาล มาจากคฤหาสน์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาแห่งหนึ่งในเวนิส ประเทศอิตาลี ชาร์ลีกับแก๊งค์ของเขา ซึ่งประกอบไปด้วย สตีฟ (เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน) อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ ไลล์ (เซ็ธ กรีน) หนุ่มหล่อที่ทำหน้าที่เป็นมือซิ่ง แฮนด์ซัม ร็อบ (เจสัน สเตแธม) ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิด เลฟต์เอียร์ (มอส เดฟ) ยังแทบไม่อยากเชื่อ เมื่อหนึ่งในทีมของพวกเขากลับกลายเป็นคนหักหลัง บัดนี้ งานที่พวกเขากระทำไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของการแก้แค้น

สเตลล่า (ชาร์ลิซ เธอรอน) สาวสวยนักเจาะรหัสเซฟ ก้าวเข้ามาร่วมมือกับ ชาร์ลี และลูกทีมเก่าของเขา เมื่อพวกเขาติดตามคนที่หักหลังไปยังแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งพวกเขาวางแผนที่จะโจรกรรมทองคำกลับมาอีกครั้ง ด้วยการเจาะเข้าไปในระบบควบคุมจราจรของลอสแอนเจลิส เปลี่ยนแปลงสัญญาณ และก่อให้เกิดการจราจรติดขัดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของแอลเอ



The Italian Job : ปล้นซ้อนปล้น พลิกถนนล่า



แผนการไร้ช่องโหว่ ภารกิจดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ ทางหนีทีไล่ปลอดโปร่ง อันตรายอย่างเดียวที่หัวหน้าแก๊งค์โจรอย่าง ชาร์ลี คร็อกเกอร์ (มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) ไม่ได้คาดคิดไว้ คืออันตรายจากลูกทีมของเขาเอง

หลังจากทำการปล้นทองคำแท่งมูลค่ามหาศาล มาจากคฤหาสน์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาแห่งหนึ่งในเวนิส ประเทศอิตาลี ชาร์ลีกับแก๊งค์ของเขา ซึ่งประกอบไปด้วย สตีฟ (เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน) อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ ไลล์ (เซ็ธ กรีน) หนุ่มหล่อที่ทำหน้าที่เป็นมือซิ่ง แฮนด์ซัม ร็อบ (เจสัน สเตแธม) ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิด เลฟต์เอียร์ (มอส เดฟ) ยังแทบไม่อยากเชื่อ เมื่อหนึ่งในทีมของพวกเขากลับกลายเป็นคนหักหลัง บัดนี้ งานที่พวกเขากระทำไม่ใช่เพื่อผลตอบแทนอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องของการแก้แค้น

สเตลล่า (ชาร์ลิซ เธอรอน) สาวสวยนักเจาะรหัสเซฟ ก้าวเข้ามาร่วมมือกับ ชาร์ลี และลูกทีมเก่าของเขา เมื่อพวกเขาติดตามคนที่หักหลังไปยังแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งพวกเขาวางแผนที่จะโจรกรรมทองคำกลับมาอีกครั้ง ด้วยการเจาะเข้าไปในระบบควบคุมจราจรของลอสแอนเจลิส เปลี่ยนแปลงสัญญาณ และก่อให้เกิดการจราจรติดขัดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของแอลเอ



King Kong : คิงคอง

http://www.jediyuth.com/gallery/galleries/poster/kingkongposter.jpg


ปี 1933 นักแสดงหญิงประจำละครสลับฉาก แอนน์ ดาร์โรว์ (นาโอมี่ วัตต์ส) พบว่าตัวเธอไม่ต่างจากชาวนิวยอร์กจำนวนมากมาย ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้ปราศจากหนทางจะหาเลี้ยงชีพ แม้ไม่เต็มใจที่จะประนีประนอม และต้องปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับงานในละครตลก แต่แอนน์มองว่าเธอมีทางเลือกที่แสนจำกัด ขณะที่เธอต้องเดินไปตามท้องถนนของเมืองแมนฮัตตันอย่างไร้จุดหมาย เมื่อความหิวทำให้เธอพยายามขโมยแอ๊ปเปิล จากแผงลอยของพ่อค้าขายผลไม้แต่ไม่สำเร็จ เธอได้รับความช่วยเหลือ จากผู้กำกับภาพยนตร์ที่ชื่อ คาร์ล เดนแฮม (แจ็ค แบล็ค)

ดูเหมือนว่านักผจญภัย-นักลงทุนผู้นี้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับการลักทรัพย์ เพราะในวันนั้น เขาเพิ่งขโมยฟิล์มชุดเดียวที่มีอยู่ ของภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ที่ยังสร้างไม่เสร็จ มาจากใต้จมูกของผู้บริหารสตูดิโอ เมื่อพวกนั้นขู่จะยึดเงินทุนทั้งหมดของเขาไป ในเย็นวันนั้น คาร์ลจะพาลูกเรือของเขาขึ้นเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติสิงคโปร์ ชื่อเรือเอสเอสเวนเจอร์ โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะสามารถสร้างภาพยนตร์แอ็คชั่น/ ท่องเที่ยว ของเขาให้เสร็จสมบูรณ์ได้ คาร์ลแน่ใจว่าในที่สุดแล้ว เขาจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ ที่เขารู้ดีว่ารอเขาอยู่ข้างหน้า และถึงแม้ทีมงานจะเชื่อว่า ความสำเร็จข้างหน้าจะรออยู่ที่สิงคโปร์ แต่คาร์ลหวังว่าเขาจะหาและได้ถ่ายทำ ณ สถานที่ลึกลับในตำนาน นั่นก็คือ เกาะหัวกะโหลก โชคร้ายสำหรับคาร์ล เมื่อดารานำหญิงของเขาเกิดถอนตัวออกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่การออกค้นหาดารานำหญิงคนใหม่ ที่จะต้องใส่เสื้อผ้าไซซ์ 4 ได้ (เพราะเสื้อผ้าทุกชุด ได้ถูกตัดเย็บเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว) ได้นำคาร์ลไปเจอแอนน์ นักแสดงสาวที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน แอนน์ไม่ค่อยแน่ใจนักกับการเซ็นสัญญากับคาร์ล จนกระทั่งเธอได้รู้ว่า นักเขียนบทละครที่กำลังมาแรง แจ็ค ดริสคอลล์ (เอเดรียน โบรดี้) กำลังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ เพราะเงินค่าจ้างที่คาร์ล เพื่อนของเขาจ่ายเป็นค่าจ้างการผจญภัยอันเดือดพล่านครั้งนี้ เป็นเงินรายได้เพิ่ม จากรายได้ระดับพอประมาณของดริสคอลล์ ที่ได้จากงานละครเวทีของเขา

หลังจากได้ดารานำหญิงคนใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบ และยังได้มือเขียนบทที่เหมือนโดนบีบให้ต้องขึ้นเรือมาด้วย "เรือกองถ่ายที่เคลื่อนที่ได้" ของ คาร์ล เดนแฮม จึงมุ่งหน้าออกจากท่าเรือนิวยอร์ก... และมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง ที่ไม่มีใครสักคนบนเรือจะคาดเดาได้!

King Kong : คิงคอง

http://www.jediyuth.com/gallery/galleries/poster/kingkongposter.jpg


ปี 1933 นักแสดงหญิงประจำละครสลับฉาก แอนน์ ดาร์โรว์ (นาโอมี่ วัตต์ส) พบว่าตัวเธอไม่ต่างจากชาวนิวยอร์กจำนวนมากมาย ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้ปราศจากหนทางจะหาเลี้ยงชีพ แม้ไม่เต็มใจที่จะประนีประนอม และต้องปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับงานในละครตลก แต่แอนน์มองว่าเธอมีทางเลือกที่แสนจำกัด ขณะที่เธอต้องเดินไปตามท้องถนนของเมืองแมนฮัตตันอย่างไร้จุดหมาย เมื่อความหิวทำให้เธอพยายามขโมยแอ๊ปเปิล จากแผงลอยของพ่อค้าขายผลไม้แต่ไม่สำเร็จ เธอได้รับความช่วยเหลือ จากผู้กำกับภาพยนตร์ที่ชื่อ คาร์ล เดนแฮม (แจ็ค แบล็ค)

ดูเหมือนว่านักผจญภัย-นักลงทุนผู้นี้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับการลักทรัพย์ เพราะในวันนั้น เขาเพิ่งขโมยฟิล์มชุดเดียวที่มีอยู่ ของภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา ที่ยังสร้างไม่เสร็จ มาจากใต้จมูกของผู้บริหารสตูดิโอ เมื่อพวกนั้นขู่จะยึดเงินทุนทั้งหมดของเขาไป ในเย็นวันนั้น คาร์ลจะพาลูกเรือของเขาขึ้นเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติสิงคโปร์ ชื่อเรือเอสเอสเวนเจอร์ โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะสามารถสร้างภาพยนตร์แอ็คชั่น/ ท่องเที่ยว ของเขาให้เสร็จสมบูรณ์ได้ คาร์ลแน่ใจว่าในที่สุดแล้ว เขาจะได้พบกับความยิ่งใหญ่ ที่เขารู้ดีว่ารอเขาอยู่ข้างหน้า และถึงแม้ทีมงานจะเชื่อว่า ความสำเร็จข้างหน้าจะรออยู่ที่สิงคโปร์ แต่คาร์ลหวังว่าเขาจะหาและได้ถ่ายทำ ณ สถานที่ลึกลับในตำนาน นั่นก็คือ เกาะหัวกะโหลก โชคร้ายสำหรับคาร์ล เมื่อดารานำหญิงของเขาเกิดถอนตัวออกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่การออกค้นหาดารานำหญิงคนใหม่ ที่จะต้องใส่เสื้อผ้าไซซ์ 4 ได้ (เพราะเสื้อผ้าทุกชุด ได้ถูกตัดเย็บเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว) ได้นำคาร์ลไปเจอแอนน์ นักแสดงสาวที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน แอนน์ไม่ค่อยแน่ใจนักกับการเซ็นสัญญากับคาร์ล จนกระทั่งเธอได้รู้ว่า นักเขียนบทละครที่กำลังมาแรง แจ็ค ดริสคอลล์ (เอเดรียน โบรดี้) กำลังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ เพราะเงินค่าจ้างที่คาร์ล เพื่อนของเขาจ่ายเป็นค่าจ้างการผจญภัยอันเดือดพล่านครั้งนี้ เป็นเงินรายได้เพิ่ม จากรายได้ระดับพอประมาณของดริสคอลล์ ที่ได้จากงานละครเวทีของเขา

หลังจากได้ดารานำหญิงคนใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบ และยังได้มือเขียนบทที่เหมือนโดนบีบให้ต้องขึ้นเรือมาด้วย "เรือกองถ่ายที่เคลื่อนที่ได้" ของ คาร์ล เดนแฮม จึงมุ่งหน้าออกจากท่าเรือนิวยอร์ก... และมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง ที่ไม่มีใครสักคนบนเรือจะคาดเดาได้!

The Lord of the Rings 3 : The Return of the King


การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเหล่าพันธมิตรเพื่อทำลายอำนาจด้านมืด แห่งลอร์ด ซอรอน กำลังเริ่มต้นขึ้น

แกนดาล์ฟ (เอียน แมคเคลเล่น) เร่งระดมพลเพื่อรักษาการรบที่กอนดอร์ไว้จนถึงที่สุด ในการรบเขาได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพของกษัตริย์ ธีโอเดน แห่ง โรแฮน (เบอร์นาร์ด ฮิลล์) ที่มาร่วมกันเผชิญกับบททดสอบอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ด้วยจิตใจอันหาญกล้าและเกียรติภูมิแห่งสายเลือดกษัตริย์ เอโอวีน แห่ง โรแฮน (มิแรนด้า อ็อตโต้) ปลอมตัวเป็นชายเข้าร่วมการรบที่กอนดอร์ ในเวลาเดียวกับที่ทัพของเหล่าพันธมิตรดูเหมือนจะได้เปรียบ ทางเลือกเดียวของลอร์ด ซอรอน ก็คือตามหาผู้ถือแหวนและชิงมันคืนมาให้จงได้

ความหวังสุดท้ายของเหล่าพันธมิตรจึงขึ้นอยู่กับภารกิจสุดท้ายของ โฟรโด (อีไลจาห์ วู้ด) ฮ้อบบิทน้อยที่เดินทางเข้าไปในใจกลางมอร์ดอร์ดินแดนแห่ง ลอร์ด ซอรอน เพื่อทำลายแหวนที่ปากปล่อง Mount Doom ณ เทือกเขา โอโรดรูอิน เมื่อใกล้ถึงที่หมายโชคชะตาแห่งแหวนได้มอบบททดสอบของมิตรภาพและความซื่อ สัตย์ที่ยิ่งใหญ่สู่ โฟรโด แซม และกอลลัม

The Lord of the Ring : The Return of the King คือบทสรุปอันสมบูรณ์ของตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งเหล่าพันธมิตร เรื่องราวของมิตรภาพ การต่อสู้ ที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและหัวใจแห่งความกล้าหาญ

The Lord of the Rings 3 : The Return of the King


การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเหล่าพันธมิตรเพื่อทำลายอำนาจด้านมืด แห่งลอร์ด ซอรอน กำลังเริ่มต้นขึ้น

แกนดาล์ฟ (เอียน แมคเคลเล่น) เร่งระดมพลเพื่อรักษาการรบที่กอนดอร์ไว้จนถึงที่สุด ในการรบเขาได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพของกษัตริย์ ธีโอเดน แห่ง โรแฮน (เบอร์นาร์ด ฮิลล์) ที่มาร่วมกันเผชิญกับบททดสอบอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ด้วยจิตใจอันหาญกล้าและเกียรติภูมิแห่งสายเลือดกษัตริย์ เอโอวีน แห่ง โรแฮน (มิแรนด้า อ็อตโต้) ปลอมตัวเป็นชายเข้าร่วมการรบที่กอนดอร์ ในเวลาเดียวกับที่ทัพของเหล่าพันธมิตรดูเหมือนจะได้เปรียบ ทางเลือกเดียวของลอร์ด ซอรอน ก็คือตามหาผู้ถือแหวนและชิงมันคืนมาให้จงได้

ความหวังสุดท้ายของเหล่าพันธมิตรจึงขึ้นอยู่กับภารกิจสุดท้ายของ โฟรโด (อีไลจาห์ วู้ด) ฮ้อบบิทน้อยที่เดินทางเข้าไปในใจกลางมอร์ดอร์ดินแดนแห่ง ลอร์ด ซอรอน เพื่อทำลายแหวนที่ปากปล่อง Mount Doom ณ เทือกเขา โอโรดรูอิน เมื่อใกล้ถึงที่หมายโชคชะตาแห่งแหวนได้มอบบททดสอบของมิตรภาพและความซื่อ สัตย์ที่ยิ่งใหญ่สู่ โฟรโด แซม และกอลลัม

The Lord of the Ring : The Return of the King คือบทสรุปอันสมบูรณ์ของตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งเหล่าพันธมิตร เรื่องราวของมิตรภาพ การต่อสู้ ที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและหัวใจแห่งความกล้าหาญ

The Lord Of The Rings 2 : The Two Towers


จากตอนจบของ The Fellowship of the Rings เหล่าพันธมิตรต้องสูญเสีย โบโรเมีย (ฌอน บีน) และ แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์ (เอียน แมคเคลเลน) พวกเขาต้องแยกจากกัน เป็น 3 กลุ่ม โฟรโด และ แซม พบว่าในขณะที่พวกเขาหลงทางอยู่ที่เนินเขาแห่ง อีมีน มิวล์ พวกเขาถูกติดตามจากกอลลั่ม สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีความเกี่ยวข้องกับแหวน กอลลั่มสัญญาที่จะพาสองฮ้อบบิทไปสู่ประตูแห่งมอร์ดอร์ โดยมีเงื่อนไขว่าทั้งสองจะต้องปล่อยตัวเขา แซมรู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจของผู้ร่วมเดินทางใหม่ ในขณะที่โฟรโดกลับเวทนากอลลั่มผู้ที่มีเคยเผชิญชะตาชีวิตดังเช่นเขาในขณะนี้

ณ ดินแดนมัชฌิมโลก อารากอร์น เลโกลัส กับ กิมลี ระหว่างการเดินทางสู่อาณาจักร โรฮาน ทั้งสามได้พบกับกองทัพโรแฮนบนอานม้า อารากอร์นได้ทราบข่าวจากเอโอเมอร์ (คาร์ล เออร์บาน) ว่ากษัตริย์แห่งโรแฮน นามว่า เธโอเดน (เบอร์นาร์ด ฮิล) ได้ต้องมนต์ของซารูมาน และถูกหักหลังโดยที่ปรึกษาคนสนิทนามว่า เวิร์มธัง (แบร้ด ดูริฟ) เอโอวิน (มิรันดา ออตโต้) หลานสาวแห่งกษัตริย์ เธโอเดน เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง และหลงใหลในตัวอารากอร์นอยู่ไม่น้อย แต่แม้อารากอร์นจะรู้สึกพึงพอใจในตัวเอโอวิน แต่หัวใจของอารากอร์นกลับอยู่ที่ริเวนเดล เมืองที่เขาเคยมีสัญญาใจกับอาร์เวน

แกนดาล์ฟกลับมาอีกครั้ง ในชุดคลุมกายขาวบริสุทธิ์ ไม่ใช่ แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น แกนดาล์ฟ เดอะไวท์ มันชัดเจนว่าพลังของเขาฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้ง เขากลับมาพร้อมกับจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนเช่นเดียวกับซามูไร นอกจากนี้เขายังมีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่อีกด้วย ซึ่งมันได้นำความเป็นผู้นำกลับมาสู่กลุ่มพันธมิตรอีกครั้ง

ขณะที่ แมร์รี่ (โดมินิค โมนาแฮน) และ พิพพิน (บิลลี่ บอยด์) สองฮ้อบบิทที่ถูกพวกอุรุกไฮลักพาตัวไป เพราะคิดว่าทั้งสองคือผู้ถือแหวน แมร์รี่ และพิพพินได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายโดยต้นไม้ยักษ์เดินได้ที่มี ชื่อว่า ทรีเบียร์ด

บนเส้นขนานของการเดินทางที่เหล่าพันธมิตรต้องเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพศัตรู เหนือจินตนาการ เล่ห์กลอันแยบยล รวมทั้งความมหัศจรรย์ของต้นไม้โบราณ และพลังกองทัพอันแข็งแกร่ง ด้วยกันทั้งหมดพวกเขาต้องลุกขึ้นเผชิญหน้ากับการต่อสู้ และดุลย์แห่งอำนาจได้เกิดการผลัดเปลี่ยนไปทั่วมัชฌิมโลก สองหอคอยอันประกอบด้วย บาราด ดูร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ ดาร์ค ลอร์ด ซอว์รอน และ ออร์ธังค์ ป้อมปราการของพ่อมดซารูมาน ที่สร้างกองทัพนับหมื่นเพื่อสงครามกับทุกชนเผ่า โดยมีจุดประสงค์เพื่อล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติ

The Lord Of The Rings 2 : The Two Towers


จากตอนจบของ The Fellowship of the Rings เหล่าพันธมิตรต้องสูญเสีย โบโรเมีย (ฌอน บีน) และ แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์ (เอียน แมคเคลเลน) พวกเขาต้องแยกจากกัน เป็น 3 กลุ่ม โฟรโด และ แซม พบว่าในขณะที่พวกเขาหลงทางอยู่ที่เนินเขาแห่ง อีมีน มิวล์ พวกเขาถูกติดตามจากกอลลั่ม สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีความเกี่ยวข้องกับแหวน กอลลั่มสัญญาที่จะพาสองฮ้อบบิทไปสู่ประตูแห่งมอร์ดอร์ โดยมีเงื่อนไขว่าทั้งสองจะต้องปล่อยตัวเขา แซมรู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจของผู้ร่วมเดินทางใหม่ ในขณะที่โฟรโดกลับเวทนากอลลั่มผู้ที่มีเคยเผชิญชะตาชีวิตดังเช่นเขาในขณะนี้

ณ ดินแดนมัชฌิมโลก อารากอร์น เลโกลัส กับ กิมลี ระหว่างการเดินทางสู่อาณาจักร โรฮาน ทั้งสามได้พบกับกองทัพโรแฮนบนอานม้า อารากอร์นได้ทราบข่าวจากเอโอเมอร์ (คาร์ล เออร์บาน) ว่ากษัตริย์แห่งโรแฮน นามว่า เธโอเดน (เบอร์นาร์ด ฮิล) ได้ต้องมนต์ของซารูมาน และถูกหักหลังโดยที่ปรึกษาคนสนิทนามว่า เวิร์มธัง (แบร้ด ดูริฟ) เอโอวิน (มิรันดา ออตโต้) หลานสาวแห่งกษัตริย์ เธโอเดน เธอเป็นคนที่เข้มแข็ง และหลงใหลในตัวอารากอร์นอยู่ไม่น้อย แต่แม้อารากอร์นจะรู้สึกพึงพอใจในตัวเอโอวิน แต่หัวใจของอารากอร์นกลับอยู่ที่ริเวนเดล เมืองที่เขาเคยมีสัญญาใจกับอาร์เวน

แกนดาล์ฟกลับมาอีกครั้ง ในชุดคลุมกายขาวบริสุทธิ์ ไม่ใช่ แกนดาล์ฟ เดอะเกรย์ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็น แกนดาล์ฟ เดอะไวท์ มันชัดเจนว่าพลังของเขาฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้ง เขากลับมาพร้อมกับจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนเช่นเดียวกับซามูไร นอกจากนี้เขายังมีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่อีกด้วย ซึ่งมันได้นำความเป็นผู้นำกลับมาสู่กลุ่มพันธมิตรอีกครั้ง

ขณะที่ แมร์รี่ (โดมินิค โมนาแฮน) และ พิพพิน (บิลลี่ บอยด์) สองฮ้อบบิทที่ถูกพวกอุรุกไฮลักพาตัวไป เพราะคิดว่าทั้งสองคือผู้ถือแหวน แมร์รี่ และพิพพินได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายโดยต้นไม้ยักษ์เดินได้ที่มี ชื่อว่า ทรีเบียร์ด

บนเส้นขนานของการเดินทางที่เหล่าพันธมิตรต้องเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพศัตรู เหนือจินตนาการ เล่ห์กลอันแยบยล รวมทั้งความมหัศจรรย์ของต้นไม้โบราณ และพลังกองทัพอันแข็งแกร่ง ด้วยกันทั้งหมดพวกเขาต้องลุกขึ้นเผชิญหน้ากับการต่อสู้ และดุลย์แห่งอำนาจได้เกิดการผลัดเปลี่ยนไปทั่วมัชฌิมโลก สองหอคอยอันประกอบด้วย บาราด ดูร์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ ดาร์ค ลอร์ด ซอว์รอน และ ออร์ธังค์ ป้อมปราการของพ่อมดซารูมาน ที่สร้างกองทัพนับหมื่นเพื่อสงครามกับทุกชนเผ่า โดยมีจุดประสงค์เพื่อล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ชาติ

The Lord of the Rings 1 : The Fellowship of the Ring


โฟรโด แบ็กกิ้นส์ เป็นฮ้อบบิทส์หนุ่ม ที่มีอายุราว ๆ ยี่สิบปี เขามีผมสีน้ำตาลเป็นลอน และมีใบหน้าที่ชาญฉลาดและมีเสน่ห์ เหมือนกับฮ้อบบิทโดยทั่วไปในเมืองไชร์ รูปร่างของเขาค่อนข้างแคระแกร็น เมื่อเทียบกับมาตรฐานของพวกเรา ความสูงของเขาประมาณสามฟุตหกเท่านั้น สิ่งเดียวที่เขาไม่เหมือนกับเพื่อนของเขา แซมไว้ส แกมกี้ ผู้รักสงบก็คือ โฟรโดปรารถนาอยู่ตลอดเวลาว่าสักวันหนึ่งเขาจะออกจากบ้านเกิดของเขา ซึ่งเป็นหุบเขาที่สุขสงบไปสู่โลกกว้างที่เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา ทุ่งหญ้า แม่น้ำ ซึ่งครอบคลุมมัชฌิมโลก ทั้งหมด ด้วยความที่เขามีความคิดที่ประหลาดเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้โฟรโดแตกต่างจากฮ้อบบิทโดยทั่วไป

วันหนึ่งโฟรโดได้ให้การต้อนรับการมาถึงของ แกนดัล์ฟเดอะเกรย์ ซึ่งเป็นพ่อมดที่มีอำนาจมากที่สุดในมัชฌิมโลก ภายหลังจากงานวันเกิดฉลองครบรอง 111 ปีของ บิลโบ แบ้กกิ้นส์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของโฟรโด เขาต้องมีอันต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดของแกนดาล์ฟที่ว่าชายชราได้ออกไปจากเมืองไชร์แล้ว และได้ทิ้งสมบัติทุกชิ้นให้แก่โฟรโด ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็รวมถึงแหวนธรรมดาวงหนึ่ง

แกนดาล์ฟตระหนักดีว่าแหวนวงนี้ไม่ธรรมดาและได้กล่าวกับ โฟรโด้ว่า "จงเก็บเป็นความลับ และจงรักษาให้ปลอดภัย" ซึ่งในเวลาเดียวกันแกนดาล์ฟเองก็พยายามศึกษาแหวนวงนี้ไปด้วย หลังจากนั้นโฟรโด้ก็ได้กลับไปพักผ่อนร่วมสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนๆ ฮ้อบบิทส์ด้วยกันก่อนที่จะกลับมาถึงบ้าน พบว่าแกนดาล์ฟได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แกนดาล์ฟบอกกับโฟรโดว่าแหวนวงนี้ไม่ธรรมดา แต่เป็นอาวุธของอำนาจชั่วร้ายและปิศาจที่น่ากลัว เพราะแหวนวงนี้หลอมขึ้นโดยดาร์คลอร์ดซอรอน และเป็นแหล่งพลังชีวิตของมัน กล่าวกันว่าแหวนวงนี้จะทำให้มันมีอำนาจมากพอ ที่จะพลิกชะตาของโลกให้กลับไปสู่ยุคมืดครั้งที่สองได้

ด้วยความรีบเร่ง แกนดาล์ฟได้บอกให้โฟรโดและแซมนำแหวนวงนี้ไปเก็บไว้ที่เอลวิช อันเป็นที่ซ่อนแห่งริเวนเดล โดยในขณะเดียวกัน แกนดาล์ฟเองก็พยายามขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เก่าของเขา ผู้มีนามว่าพ่อมดซารูแมน

ก่อนที่ฮ้อบบิทหนุ่มทั้งสองจะเดินทางออกจากเมืองไชร์ ทั้งโฟรโด้และแซมได้พบกับเมอร์รี่และพิพพินเพื่อนวัยเยาว์ของพวกเขา ซึ่งขอร่วมเดินทางตามไปด้วย แล้วไม่นานนักพวกเขาก็ต้องพบกับปิศาจเป็นครั้งแรก มันเป็นพวกริงก์เรท ซึ่งเป็นสมุนของดาร์คลอร์ด อย่างไรก็ตามโชคดีพวกฮ้อบบิทสามารถหลุดพ้นจากการไล่ล่าของพวกมันมาได้ แต่หนีได้ไม่เท่าไหร่พวกเขาก็ต้องพบกับเรทอีกกลุ่มหนึ่ง พวกมันเป็นสมุนรับใช้ทั้งเก้าของซอรอน รูปร่างของมันคล้ายผี และมีชีวิตอย่างถาวรในโลกที่สุกสกาวแห่งดวงตาของซอรอน

ในขณะเดียวกันแกนดาล์ฟได้มาถึงไอเซนการ์ด อันเป็นที่มั่นของพ่อมด ซารูแมนเดอะไว้ท์ ที่นั่นเขาพบว่าเพื่อนเก่าของเขารวมถึงอาจารย์ของเขาตกเป็นทาสของปิศาจร้าย เสียแล้ว

ระหว่างที่แกนดาล์ฟถูกจองจำในหอคอยออร์แทงค์ของซารูแมน โฟรโด้ แซม เมอร์รี่ และ พิพพิน ก็พาตัวเองเข้าไปหลบซ่อนในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า บรี อย่างปลอดภัย ที่โรงเตี๊ยม Prancing Pony พวกเขาได้พบกับชายลึกลับที่มีชื่อว่าสไตรเดอร์ เขาได้บอกกับฮ้อบบิทส์ว่าพวกเขาควรเดินทางออกจากเมืองบรีให้เร็วที่สุด พร้อมกันนั้นได้เสนอตัวที่จะพาพวกเขาไปยังริเวนเดล

ระหว่างทางสไตรเดอร์พยายามที่เลี่ยงใช้เส้นทางถนน โดยเขานำพวกฮ้อบบิทส์เดินทางไปตามเส้นทางอันตรายแทน แม้ว่าจะคอยระวังอยู่ตลอดเวลา แต่สไตรเดอร์ก็พลัดหลงกับพวกฮ้อบบิทส์ครั้งหนึ่งระหว่างอยู่บนยอดสุงสุดของ Weathertop ทิ้งให้พวกเขาต้องอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของหอคอยที่ถูกละทิ้ง เป็นโอกาสให้พวกริงก์แรทโผล่มาทำร้ายโฟรโด้และพรรคพวกทันที อย่างไรก็ตามโชคดีที่สไตรเดอร์ตามมาเจอพอดี พวกริงก์แรทจึงหายตัวไป ผลจากการโจมตีครั้งนั้นทำให้โฟรโด้บาดเจ็บสาหัส

ระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในหอคอยซารูแมน แกนดาล์ฟได้ขอความช่วยเหลือจากกวาเฮียร์ ผู้ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งอินทรีย์ให้พาหนีก่อนที่ซารูแมนจะทำอันตรายต่อเขา มากกว่านี้

เช้าวันต่อมาโฟรโดพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง ในเมืองริเวนเดล โดยมีแกนดาล์ฟนั่งอยู่ข้างเตียงและมีสไตเดอร์นั่งอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเราได้ทราบความจริงอีกประการหนึ่งว่าสไตรเดอร์เป็นเพียงแค่นามแฝง เท่านั้น ชื่อจริงของเขาคือ อรากอน ผู้ซึ่งสืบสันตติวงศ์จากกษัตริย์โบราณ

ในช่วงเวลาเดียวกันผู้แทนจากดินแดนในโลกแถบกลาง ได้มาชุมนุมกันที่เมืองริเวนเดลเพื่อประชุมสภากัน โดยมีจุดประสงค์เพื่ออภิปรายถึงอนาคตของแหวน บทสรุปของการประชุมโดย ลอร์ดแห่งเอลฟส์ ออกมาว่าแหวนวงนี้จำต้องถูกทำลาย และการทำลายจะสัมฤทธ์ผลก็ต่อเมื่อแหวนวงนี้ถูกนำไปโยนลงในหุบเขามรณะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของอาณาจักรของดาร์คลอร์ด ที่มีชื่อว่า มอร์ดอร์ เท่านั้น

อย่างไรก็ตามภารกิจนี้มิได้กระทำกันง่ายๆ เพราะกล่าวกันว่าผู้ใดก็ตามที่สัมผัสแหวน ต้องมีอันเป็นไปทุกราย อย่างไรก็ตามสำหรับพวกฮ้อบบิทส์ซึ่งมีจิตใจที่อ่อนโยนแล้ว อำนาจชั่วร้ายแทบไม่สามารถทำร้ายพวกเขา เมื่อเป็นดังนั้นผู้ที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งจึงเป็นใครไม่ได้นอกจาก โฟรโด้

ในช่วงเวลาที่โฟรโด้อาสาที่จะนำแหวนไปยังอาณาจักรมอร์ดอร์ นี่เอง ชายอีกแปดคนได้อาสาตามไปช่วยเขาด้วย บุคคลเหล่านี้ประกอบด้วย โบโรเมีย บุตรชายแห่งสจ๊วดแห่ง กอนดอร์ ลีโกลาส เอล์ฟ แห่งอาณาจักรเมิร์กวู้ด กิมลิ ชายแคระ แกนดาล์ฟ พ่อมด อรากอน และแน่นอน แซม เมอร์รี่ และพิพพิน เอลดรอนให้สมญานามอาสาสมัครทั้งเก้าว่า พันธมิตรแห่งแหวน หรือ The Fellowship of the Ring

พันธมิตรทั้งหมดได้ออกจากริเวนเดลพร้อมกับซอรอนและซารูแมน ระหว่างพวกเขาต้องผจญกับอันตรายมากมาย แต่ไม่มีภัยใดที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่รุนแรงเท่ากับที่เมืองคนแคระที่ ชื่อ มอเรีย ที่นั่นพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับบาร์ล็อก อสูรร้ายแห่งไฟ และแกนดาล์ฟได้แสดงวีรกรรมด้วยการยอมต่อสู้จนตัวตาย เพื่อให้พันธมิตรที่เหลือมีชีวิตรอดเพื่อดำเนินจุดมุ่งหมายต่อไป

ผลจากการสูญเสียแกนดาล์ฟ ทำให้พันธมิตรต้องเสียขวัญ โดยเฉพาะโฟรโด้เริ่มสงสัยแล้วว่าบางทีอานุภาพชั่วร้ายของแหวนเริ่มส่งผลเลว ร้ายต่อเพื่อนๆ ของเขาแล้ว

แล้วก็เป็นจริงเมื่อโบโรเมียร์แห่งกอนดอร์พยายามที่จะใช้ กำลังแย่งแหวนจากโฟรโด แต่โฟรโดก็หนีมาได้ พร้อมกับการตัดสินใจที่สร้างความแสลงใจแก่เขามาก ด้วยพันธะที่มีอยู่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางไปยังอาณาจักรมอร์ดอร์แต่เพียงผู้ เดียว

ในช่วงเวลานั้นเองเหล่าพันธะมิตรได้ถูกทำร้ายโดยอำนาจชั่ว ร้ายของซารูแมน ผลจากการโจมตีทำให้พันธมิตรต้องสูญเสียโบโรเมียไปอีกคน เขาตายเพราะปกป้องชีวิตของเมอร์รีกับพิพพิน ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ตกเป็นเชลยของออร์คส

ระหว่างที่หนีการไล่ล่า แซมได้พบกับโฟรโด้ซึ่งกำลังพายเรือข้ามทะเลสาบ เขาได้ขอให้โฟรโด้พาไปด้วย ส่วนอรากอน แทนที่จะออกเดินทางตามโฟรโด้และแซม เขากับพรรคพวกที่เหลือกลับตัดสินใจตามไปช่วยเหลือเมอร์รีและพิพพิน เมื่อเป็นดังนี้ภารกิจในการนำแหวนไปทำลายจึงตกอยู่กับสองฮ้อบบิท โฟรโด้กับแซมเท่านั้น

The Lord of the Rings 1 : The Fellowship of the Ring


โฟรโด แบ็กกิ้นส์ เป็นฮ้อบบิทส์หนุ่ม ที่มีอายุราว ๆ ยี่สิบปี เขามีผมสีน้ำตาลเป็นลอน และมีใบหน้าที่ชาญฉลาดและมีเสน่ห์ เหมือนกับฮ้อบบิทโดยทั่วไปในเมืองไชร์ รูปร่างของเขาค่อนข้างแคระแกร็น เมื่อเทียบกับมาตรฐานของพวกเรา ความสูงของเขาประมาณสามฟุตหกเท่านั้น สิ่งเดียวที่เขาไม่เหมือนกับเพื่อนของเขา แซมไว้ส แกมกี้ ผู้รักสงบก็คือ โฟรโดปรารถนาอยู่ตลอดเวลาว่าสักวันหนึ่งเขาจะออกจากบ้านเกิดของเขา ซึ่งเป็นหุบเขาที่สุขสงบไปสู่โลกกว้างที่เต็มไปด้วยภูเขา หุบเขา ทุ่งหญ้า แม่น้ำ ซึ่งครอบคลุมมัชฌิมโลก ทั้งหมด ด้วยความที่เขามีความคิดที่ประหลาดเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้โฟรโดแตกต่างจากฮ้อบบิทโดยทั่วไป

วันหนึ่งโฟรโดได้ให้การต้อนรับการมาถึงของ แกนดัล์ฟเดอะเกรย์ ซึ่งเป็นพ่อมดที่มีอำนาจมากที่สุดในมัชฌิมโลก ภายหลังจากงานวันเกิดฉลองครบรอง 111 ปีของ บิลโบ แบ้กกิ้นส์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของโฟรโด เขาต้องมีอันต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดของแกนดาล์ฟที่ว่าชายชราได้ออกไปจากเมืองไชร์แล้ว และได้ทิ้งสมบัติทุกชิ้นให้แก่โฟรโด ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็รวมถึงแหวนธรรมดาวงหนึ่ง

แกนดาล์ฟตระหนักดีว่าแหวนวงนี้ไม่ธรรมดาและได้กล่าวกับ โฟรโด้ว่า "จงเก็บเป็นความลับ และจงรักษาให้ปลอดภัย" ซึ่งในเวลาเดียวกันแกนดาล์ฟเองก็พยายามศึกษาแหวนวงนี้ไปด้วย หลังจากนั้นโฟรโด้ก็ได้กลับไปพักผ่อนร่วมสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนๆ ฮ้อบบิทส์ด้วยกันก่อนที่จะกลับมาถึงบ้าน พบว่าแกนดาล์ฟได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แกนดาล์ฟบอกกับโฟรโดว่าแหวนวงนี้ไม่ธรรมดา แต่เป็นอาวุธของอำนาจชั่วร้ายและปิศาจที่น่ากลัว เพราะแหวนวงนี้หลอมขึ้นโดยดาร์คลอร์ดซอรอน และเป็นแหล่งพลังชีวิตของมัน กล่าวกันว่าแหวนวงนี้จะทำให้มันมีอำนาจมากพอ ที่จะพลิกชะตาของโลกให้กลับไปสู่ยุคมืดครั้งที่สองได้

ด้วยความรีบเร่ง แกนดาล์ฟได้บอกให้โฟรโดและแซมนำแหวนวงนี้ไปเก็บไว้ที่เอลวิช อันเป็นที่ซ่อนแห่งริเวนเดล โดยในขณะเดียวกัน แกนดาล์ฟเองก็พยายามขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เก่าของเขา ผู้มีนามว่าพ่อมดซารูแมน

ก่อนที่ฮ้อบบิทหนุ่มทั้งสองจะเดินทางออกจากเมืองไชร์ ทั้งโฟรโด้และแซมได้พบกับเมอร์รี่และพิพพินเพื่อนวัยเยาว์ของพวกเขา ซึ่งขอร่วมเดินทางตามไปด้วย แล้วไม่นานนักพวกเขาก็ต้องพบกับปิศาจเป็นครั้งแรก มันเป็นพวกริงก์เรท ซึ่งเป็นสมุนของดาร์คลอร์ด อย่างไรก็ตามโชคดีพวกฮ้อบบิทสามารถหลุดพ้นจากการไล่ล่าของพวกมันมาได้ แต่หนีได้ไม่เท่าไหร่พวกเขาก็ต้องพบกับเรทอีกกลุ่มหนึ่ง พวกมันเป็นสมุนรับใช้ทั้งเก้าของซอรอน รูปร่างของมันคล้ายผี และมีชีวิตอย่างถาวรในโลกที่สุกสกาวแห่งดวงตาของซอรอน

ในขณะเดียวกันแกนดาล์ฟได้มาถึงไอเซนการ์ด อันเป็นที่มั่นของพ่อมด ซารูแมนเดอะไว้ท์ ที่นั่นเขาพบว่าเพื่อนเก่าของเขารวมถึงอาจารย์ของเขาตกเป็นทาสของปิศาจร้าย เสียแล้ว

ระหว่างที่แกนดาล์ฟถูกจองจำในหอคอยออร์แทงค์ของซารูแมน โฟรโด้ แซม เมอร์รี่ และ พิพพิน ก็พาตัวเองเข้าไปหลบซ่อนในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า บรี อย่างปลอดภัย ที่โรงเตี๊ยม Prancing Pony พวกเขาได้พบกับชายลึกลับที่มีชื่อว่าสไตรเดอร์ เขาได้บอกกับฮ้อบบิทส์ว่าพวกเขาควรเดินทางออกจากเมืองบรีให้เร็วที่สุด พร้อมกันนั้นได้เสนอตัวที่จะพาพวกเขาไปยังริเวนเดล

ระหว่างทางสไตรเดอร์พยายามที่เลี่ยงใช้เส้นทางถนน โดยเขานำพวกฮ้อบบิทส์เดินทางไปตามเส้นทางอันตรายแทน แม้ว่าจะคอยระวังอยู่ตลอดเวลา แต่สไตรเดอร์ก็พลัดหลงกับพวกฮ้อบบิทส์ครั้งหนึ่งระหว่างอยู่บนยอดสุงสุดของ Weathertop ทิ้งให้พวกเขาต้องอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของหอคอยที่ถูกละทิ้ง เป็นโอกาสให้พวกริงก์แรทโผล่มาทำร้ายโฟรโด้และพรรคพวกทันที อย่างไรก็ตามโชคดีที่สไตรเดอร์ตามมาเจอพอดี พวกริงก์แรทจึงหายตัวไป ผลจากการโจมตีครั้งนั้นทำให้โฟรโด้บาดเจ็บสาหัส

ระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในหอคอยซารูแมน แกนดาล์ฟได้ขอความช่วยเหลือจากกวาเฮียร์ ผู้ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งอินทรีย์ให้พาหนีก่อนที่ซารูแมนจะทำอันตรายต่อเขา มากกว่านี้

เช้าวันต่อมาโฟรโดพบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง ในเมืองริเวนเดล โดยมีแกนดาล์ฟนั่งอยู่ข้างเตียงและมีสไตเดอร์นั่งอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเราได้ทราบความจริงอีกประการหนึ่งว่าสไตรเดอร์เป็นเพียงแค่นามแฝง เท่านั้น ชื่อจริงของเขาคือ อรากอน ผู้ซึ่งสืบสันตติวงศ์จากกษัตริย์โบราณ

ในช่วงเวลาเดียวกันผู้แทนจากดินแดนในโลกแถบกลาง ได้มาชุมนุมกันที่เมืองริเวนเดลเพื่อประชุมสภากัน โดยมีจุดประสงค์เพื่ออภิปรายถึงอนาคตของแหวน บทสรุปของการประชุมโดย ลอร์ดแห่งเอลฟส์ ออกมาว่าแหวนวงนี้จำต้องถูกทำลาย และการทำลายจะสัมฤทธ์ผลก็ต่อเมื่อแหวนวงนี้ถูกนำไปโยนลงในหุบเขามรณะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของอาณาจักรของดาร์คลอร์ด ที่มีชื่อว่า มอร์ดอร์ เท่านั้น

อย่างไรก็ตามภารกิจนี้มิได้กระทำกันง่ายๆ เพราะกล่าวกันว่าผู้ใดก็ตามที่สัมผัสแหวน ต้องมีอันเป็นไปทุกราย อย่างไรก็ตามสำหรับพวกฮ้อบบิทส์ซึ่งมีจิตใจที่อ่อนโยนแล้ว อำนาจชั่วร้ายแทบไม่สามารถทำร้ายพวกเขา เมื่อเป็นดังนั้นผู้ที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งจึงเป็นใครไม่ได้นอกจาก โฟรโด้

ในช่วงเวลาที่โฟรโด้อาสาที่จะนำแหวนไปยังอาณาจักรมอร์ดอร์ นี่เอง ชายอีกแปดคนได้อาสาตามไปช่วยเขาด้วย บุคคลเหล่านี้ประกอบด้วย โบโรเมีย บุตรชายแห่งสจ๊วดแห่ง กอนดอร์ ลีโกลาส เอล์ฟ แห่งอาณาจักรเมิร์กวู้ด กิมลิ ชายแคระ แกนดาล์ฟ พ่อมด อรากอน และแน่นอน แซม เมอร์รี่ และพิพพิน เอลดรอนให้สมญานามอาสาสมัครทั้งเก้าว่า พันธมิตรแห่งแหวน หรือ The Fellowship of the Ring

พันธมิตรทั้งหมดได้ออกจากริเวนเดลพร้อมกับซอรอนและซารูแมน ระหว่างพวกเขาต้องผจญกับอันตรายมากมาย แต่ไม่มีภัยใดที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่รุนแรงเท่ากับที่เมืองคนแคระที่ ชื่อ มอเรีย ที่นั่นพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับบาร์ล็อก อสูรร้ายแห่งไฟ และแกนดาล์ฟได้แสดงวีรกรรมด้วยการยอมต่อสู้จนตัวตาย เพื่อให้พันธมิตรที่เหลือมีชีวิตรอดเพื่อดำเนินจุดมุ่งหมายต่อไป

ผลจากการสูญเสียแกนดาล์ฟ ทำให้พันธมิตรต้องเสียขวัญ โดยเฉพาะโฟรโด้เริ่มสงสัยแล้วว่าบางทีอานุภาพชั่วร้ายของแหวนเริ่มส่งผลเลว ร้ายต่อเพื่อนๆ ของเขาแล้ว

แล้วก็เป็นจริงเมื่อโบโรเมียร์แห่งกอนดอร์พยายามที่จะใช้ กำลังแย่งแหวนจากโฟรโด แต่โฟรโดก็หนีมาได้ พร้อมกับการตัดสินใจที่สร้างความแสลงใจแก่เขามาก ด้วยพันธะที่มีอยู่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางไปยังอาณาจักรมอร์ดอร์แต่เพียงผู้ เดียว

ในช่วงเวลานั้นเองเหล่าพันธะมิตรได้ถูกทำร้ายโดยอำนาจชั่ว ร้ายของซารูแมน ผลจากการโจมตีทำให้พันธมิตรต้องสูญเสียโบโรเมียไปอีกคน เขาตายเพราะปกป้องชีวิตของเมอร์รีกับพิพพิน ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ตกเป็นเชลยของออร์คส

ระหว่างที่หนีการไล่ล่า แซมได้พบกับโฟรโด้ซึ่งกำลังพายเรือข้ามทะเลสาบ เขาได้ขอให้โฟรโด้พาไปด้วย ส่วนอรากอน แทนที่จะออกเดินทางตามโฟรโด้และแซม เขากับพรรคพวกที่เหลือกลับตัดสินใจตามไปช่วยเหลือเมอร์รีและพิพพิน เมื่อเป็นดังนี้ภารกิจในการนำแหวนไปทำลายจึงตกอยู่กับสองฮ้อบบิท โฟรโด้กับแซมเท่านั้น

Friday, March 13, 2009

วิดีโอคลิป

ชื่ออังกฤษ VDO Clip
ประเภท Thriller
วันที่เข้าฉาย 26 กรกฎาคม 255

เรื่องย่อ
เคน (เผ่าพล เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หารายได้ด้วยการเป็นช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ นอกจากนั้นเขายังมีงานอดิเรกซึ่งกำลังเป็นของสะสมที่นิยมอยู่ในขณะนี้ มันคือ คลิปหลุด การสอดรู้สอดเห็นขโมยข้อมูลของลูกค้าที่นำโทรศัพท์มือถือมาซ่อม ทำให้เคนได้พบเห็นคลิปหลุดมากมาย ทั้งที่แอบถ่ายและจงใจถ่ายกันให้เห็นจะๆ นอกจากจะเก็บภาพลับเฉพาะเอาไว้ดูเอง เคนยังใจดีแบ่งปันความสุข …



วิดีโอคลิป

ชื่ออังกฤษ VDO Clip
ประเภท Thriller
วันที่เข้าฉาย 26 กรกฎาคม 255

เรื่องย่อ
เคน (เผ่าพล เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หารายได้ด้วยการเป็นช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ นอกจากนั้นเขายังมีงานอดิเรกซึ่งกำลังเป็นของสะสมที่นิยมอยู่ในขณะนี้ มันคือ คลิปหลุด การสอดรู้สอดเห็นขโมยข้อมูลของลูกค้าที่นำโทรศัพท์มือถือมาซ่อม ทำให้เคนได้พบเห็นคลิปหลุดมากมาย ทั้งที่แอบถ่ายและจงใจถ่ายกันให้เห็นจะๆ นอกจากจะเก็บภาพลับเฉพาะเอาไว้ดูเอง เคนยังใจดีแบ่งปันความสุข …



Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Best Web Host